วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

จักรยานโบราณ ถึงเก่าแต่ก็เก๋า

จักรยานโบราณ ถึงเก่าแต่ก็เก๋า



          ในประเทศไทยที่ได้ทราบจากบันทึกจดหมายเหตุรายวันจึงเห็นเป็นได้ว่ามีรถ ถีบได้เข้ามาเป็นครั้งแรกในช่วงสมัย ร.๕ การสั่ง - ซื้อ-ส่งจักรยานโดยทางเรือจากยุโรปมาถึงไทยในสมัยนั้นใช้เวลาเกือบปี ดังนั้นจึงถือเอาว่ารถจักรยานปรากฏในสยามช่วงปี พ.ศ. 2420 โดยบันทึกเป็นทางการเมื่อ วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2425 เป็นปที่เริ่มต้นจักรยานในประเทศ ไทยนับเนื่องถึงปัจจุบันนี้ยาวนานถึง 117 ปีแล้ว




             เชื่อกันว่ารถจักรยานใน สยาม ที่รู้จักกันในนาม รถถีบ มีเข้ามาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ ๔ ตอนปลายแล้ว ( ระหว่าง พ.ศ.2394 - 2411 ) ตรงกับ ค.ศ. 1851 - 1868 ซึ่งเป็นปีที่ฝรั่งเศษ, เยอรมัน, อังกฤษระดมความคิดสร้างสรรค์จักรยานประดิษฐกรรมเฟื่องฟูที่สุดก่อนเปิดยุค อุตสาหกรรมพัฒนาถึงขั้นผลิตส่งออกขายทั่วโลกในปี๑๘๘๕
ในฝรั่งเศษเอง คลั่งใคล้จักรยานมากที่สุดในปี 1867 หลังจากนั้น 1 ปี จึงจะมีคนริเริ่มทำจักรยานเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ในปี 1869 บริษัทโครเวนตี้ ที่อังกฤษเริมผลิตจักรยานล้อโตชื่อ เพนนีพาร์ ทิง ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกจนเป็นที่มาของจักรยานที่ปรากฏเห็นกันในสยามตาม บันทึก

ต่อมาในสมัย ร. ๕ รถจักรยานเข้ามาในสยาม เป็นพาหนะส่วนตัวที่ชาวกรุงนิยมนัก ถีบกันเกร่อทั้งไทยและเทศรถถีบสมัย ร.๕ ระหว่าง พ.ศ. 2411 - 2453 ค.ศ. 1868 - 1910 มีการสั่งจักรยานมาขายเป็นครั้งแรก กรมหลวงราชบุรีฯ สั่งจักรยานมา 1๐๐ คัน กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ สั่งจักรยานมา 1๐๐ คัน มีการฝึกหัดขี่จักรยานในรั้ววังฯ....มีการประกวดแฟนซีขี่จักรยาน...มีการ ตั้งสโมสรผู้ขี่จักรยาน และมีการซื้อขายเป็นต้นแบบการค้าจักรยานครั้งแรกใน สยาม

การจำหน่ายจักรยานในสมัยนั้นไม่มีใครบันทึกว่าเป็นรถอะไร ...ยี่ห้ออะไร... มีแต่การประกาศขายโดยผ่านประเทศสิงคโปร์ ในยุคนั้น ปรากฏชื่อจักรยานตรา ROYAL PSYCHO จากหนังสือพิมพ์บางกอกไตม์ เมื่อ 5 ตุลาคม 2435 ทำให้เชื่อได้ว่าคนไทย มีจักรยานตรา ROYAL PSYCHO ใช้ในสมัย ร.๕ แล้วหนึ่งตรา ในรัชกาลที่ ๖ รถจักรยานได้มีบทบาท ในท้องถนนไมแพ้ รถยนต์ เนื่องจากราษฎรสามารถที่จะซื้อมาขี่ได้.สะดวกกว่าแต่ก่อนเพราะนอกจากจะมีขาย ในกรุงเทพ ฯและต่างจังหวัดแล้ว ราคาก็ถูกกว่าแต่แรกหลายเท่า รถจักรยานจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย

ในสงครามอินโดจีน รถจักรยานก็มีส่วนใช้เป็นยานพาหนะในกองทัพบกของไทย ด้วย จักรยานยี่ห้อ ฟิลลิปส์ สมัยนั้นราคา 800 บาท ยี่ห้อ ซันบีม เป็นรถแบบสปอร์ต ราคาคันละ 1,200 บาท หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา รถจักรยานยี่ห้อ ราเลย์ และ ยี่ห้อ ซัมบีม เป็นรถที่ดีที่สุด และ ราคาแพงที่สุดตามลำดับปัจจุบันรถจักรยานสามารถสร้างขึ้นได้ในเมืองไทย ราคาจึงขายกันเพียงคันละ 300 - 400 บาทเท่านั้น และยังพลอยทำให้จักรยานนอกราคาถูกลงด้วยเห็นงามตามเขาในความเป็นจริง จักรยานไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์หรือผลผลิตของคนไทย เพียง เห็นงามตามเขา แบบที่พูดกันว่า ฝรั่งทำ เจ๊กขาย ไทยถีบ คนไทยเคยใช้จักรยานมานานถึง 117 ปี แล้ว

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

“มิทสึโอกะ” เปิดตัวรถยนต์คลาสสิครุ่นเล็กใหม่ล่าสุด แห่งแรกก่อนประเทศญี่ปุ่น “นิว บิวท์โตะ” (NEW VIEWT)






บริษัท มิทสึโอกะ มอเตอร์เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถยนต์คลาสสิกรุ่นเล็กรุ่นใหม่ล่าสุด “นิว บิวท์โตะ” พร้อมนำรถยนต์สวยสไตล์คลาสสิคอวดโฉม รวม 4 รุ่น

1. นิวบิวท์โตะ (NEW VIEWT) รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นการเปิดตัวเป็นครั้งแรกก่อนประเทศญี่ปุ่น บิวท์โตะเป็นรถยนต์ที่ทางมิทสึโอกะ มอเตอร์ (Mitsuoka Motor) สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้ผู้ขับขี่ ได้ใช้รถยนต์ขนาดเล็กที่มีความสวยงาม มีเสน่ห์ และน่ารัก ในขณะเดียวกันก็ดูหรูหราใน สไตล์คลาสสิคตั้งแต่ ปีคริสตศักราช 1993 ณ เมืองโทยามะ ประเทศญี่ปุ่น
บิวท์โตะ เป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง (Big Hit) และยาวนานมากที่สุด (Long Seller) ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันอย่างน่าทึ่ง สามารถครองใจผู้รักรถในสไตล์นี้ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ซึ่งเป็นยอดขายที่มีมากกว่ารถยนต์ในขนาดเดียวกันที่ผลิตจำนวนน้อยแบบ Hand Made
ด้วยดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ที่มีชีวิต สามารถแสดงสีหน้า และอารมณ์ได้หลากหลาย รูปลักษณ์โดดเด่น ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หลงใหล ทำให้รำลึกย้อนสู่อดีตวันวานอันแสนหวานที่น่าจดจำ ดวงไฟหน้ากลมโตอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ Mitsuoka ทุกรุ่น ตกแต่งกระจังหน้าด้วยเหล็กซี่แนวตั้งเคลือบโครเมี่ยม อีกทั้งกันชนเหล็กหน้า-หลัง งามสง่าด้วยโครเมี่ยมมันวาว ตัวถังรูปทรงโค้งมนเรียวลู่ หรูหราในทุกมุมมอง อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์รุ่นบิวท์โตะโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการมองจากด้านหน้า หรือด้านท้าย สวยสะดุดตา เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเส้นสายงานศิลป์ ที่บรรจงสร้างอย่างได้สัดส่วน นอกจากนี้ ยังเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยครบครัน เช่นเดียวกับรถยนต์สมัยใหม่ ให้คุณใช้รถได้อย่างอบอุ่นใจ สะดวกสบาย ปลอดภัยในการใช้งาน และยังมั่นใจได้ในความน่าเชื่อถือ อีกทั้งง่ายต่อการบำรุงรักษาแตกต่างจากรถคลาสสิคอื่นๆทั่วไป
ภายในตกแต่งด้วยวัสดุที่บรรจงคัดสรรอย่างดีที่สุด ทั้งลายไม้สุดคลาสสิค และเบาะหนังแท้คุณภาพดีเยี่ยม (เป็นอุปกรณ์เลือกตกแต่งเพิ่ม-ไม่ใช่อุปกรณ์มาตรฐาน)

2. โอโรจิ (OROCHI) รถยนต์รุ่นที่มีทาง มิทสึโอกะ มอเตอร์ ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ได้รับการจุดประกายความคิดในการสร้างสรรค์ จากความใฝ่ฝันของท่านประธานกรรมการ ที่ต้องการผลิตรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ ในสไตล์สปอร์ตแฟชั่น ให้ผู้ขับขี่ทุกท่านสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยเน้นความเพลิดเพลินในการขับขี่เป็นสำคัญ มิทสึโอกะ มอเตอร์ ออกแบบโครงสร้างรถยนต์รุ่นนี้ขึ้นโดยใช้ ออริจินัล สตีล สเปซ เฟรม (Original Steel Space Frame) ของ มิทสึโอกะเอง เครื่องยนต์ขนาด 3,300 ซีซี. V-Series 6 สูบ วางเครื่องยนต์แบบ มิดชิป เอนจิ้น เลย์เอาท์ (Midship Engine Layout) เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุดที่ 233 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 328 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที
โอโรจิ ได้รับรางวัล คาร์ ออฟ เดอะ เยียร์ (Car of The Year) ในช่วงปี 2006 – 2007 ณ ประเทศญี่ปุ่นในด้านการออกแบบ โดยใช้แนวคิดจากรูปลักษณ์ของอสรพิษในตำนานญี่ปุ่นที่ดูลึกลับ ปราดเปรียว น่าเกรงขาม แต่แฝงไว้ด้วยความงดงามในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเส้นสายงานศิลป์บนตัวถัง การตกแต่งไฟหน้า และไฟท้าย อย่างเหมาะเจาะลงตัว
การสร้างสรรค์รถยนต์ในจินตนาการเช่นนี้ ให้สามารถโลดแล่นบนท้องถนนได้จริง เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เพื่อให้ได้รถยนต์ที่คงดีไซน์ที่ประณีตทุกรายละเอียดไว้ ช่างฝีมือที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ของมิทสึโอกะ มอเตอร์ จึงต้องทุ่มเทเวลา และความพยายามพิถีพิถันในการผลิตรถแต่ละคันขึ้นมา อีกทั้งต้องควบคุมทุกรายละเอียดให้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจำนวนมากตามข้อ กำหนดของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
โอโรจิ เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ทางเราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความพิถีพิถัน ละเอียดอ่อน ในทุกขั้นตอนการผลิต ดังนั้นเมื่อถึงวันที่รถประกอบเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ จึงเปรียบประดุจวันส่งตัว บุตรธิดา ที่เราเลี้ยงดูให้เติบโตแข็งแรงเข้าสู่ประตูวิวาห์กับคู่ครองที่คู่ควรเช่น คุณ

3. ฮิมิโกะ (HIMIKO) ยนตรกรรมสปอร์ตคลาสสิค 2 ที่นั่ง ที่ตั้งชื่อตามองค์ราชินี “ฮิมิโกะ” ผู้ปกครองอาณาจักร “ยามาไต” ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณที่มีอยู่จริงเมื่อประมาณ 1,800 ปีมาแล้ว ชื่อรุ่น “ฮิมิโกะ” นี้ ให้ภาพความสง่างาม เกียรติยศ และรัศมีแห่งความงดงามที่เปี่ยมคุณค่า น่าหลงใหล มีพลังที่น่าดึงดูดใจตามรูปลักษณ์ของราชินีซึ่งเหมาะสมกับรถรุ่น “ฮิมิโกะ” อย่างแท้จริง
ดีไซน์เนอร์ได้ให้ความสำคัญกับการผสมผสานกลมกลืน ระหว่างรูปลักษณ์ของรถยนต์สมัยใหม่ กับเส้นสายโค้งมนของรถคลาสสิค เป็นความเพียรพยายามในการสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน ให้มีดีไซน์สปอร์ตคลาสสิค แบบลองโน๊ส / ช๊อตเดค (Long-nose / Short-deck) กล่าวคือ อัตราส่วนระหว่าง ความยาวของบังโคลนหน้ากับช่วงท้ายรถ เป็นอัตราส่วนทอง คือ 7 : 3 เรียกได้ว่า “ฮิมิโกะ” เป็นรถที่มีดีไซน์งดงามตามแบบรถคลาสสิค ที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ในโลกปัจจุบัน เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบยนตรกรรมสมัยใหม่ สะดวกสบายในการขับขี่ ทำให้ “ฮิมิโกะ” มีความงดงามเปรียบประดุจอัญมณีล้ำค่า จนทำให้ท่านตกหลุมรักได้ตั้งแต่แรกพบ
ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2000 ซีซี ขับเคลื่อนล้อหลัง 4 สูบ 16 วาล์ว กำลังสูงสุด 119 กิโลวัตต์ ที่ 6,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 189 นิวตัน-เมตร ที่ 5,000 รอบต่อนาที กำลังสูงสุดที่ 162 แรงม้า ระบบหัวฉีด EGI เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และสามารถปรับเปลี่ยนเป็น Manual Shift Mode เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะในการขับขี่ เร่งแซงทันใจ โฉบเฉี่ยว สไตล์สปอร์ตอย่างแท้จริง เปิดประทุนได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลา 12 วินาที

4. ฮิมิโกะ คลาสสิค (HIMIKO CLASSIC) รถยนต์เวอร์ชั่นใหม่ ตกแต่งพิเศษ โดดเด่นด้านงานศิลป์ด้วยตัวถังสีทูโทน บริลเลี่ยนแบล็ค/สตรองเรด (Brilliant black/Strong red) ให้ภาพลักษณ์ความหรูหรา สง่างาม
เบาะที่นั่งพร้อมแผงประตูหนังแท้สีแดง คัดสรรเป็นพิเศษจากหนังแท้ชั้นเลิศคุณภาพดี ตัดเย็บด้วยช่างฝีมือประณีต ภายในตกแต่งด้วยลายไม้สวยเก๋ คลาสสิคอย่างเหมาะเจาะลงตัว เพิ่มความหรูหราอีกระดับด้วยคิ้วโครเมี่ยมรอบคัน
ฮิมิโกะ คลาสสิค เป็นรุ่นลิมิเตด เอดิชั่น (Limited Edition) ที่มีแผนการผลิต และจำหน่ายในประเทศไทยเพียง 20 คัน เท่านั้น
ปรัชญาในการประกอบรถยนต์ ของ MITSUOKA คือ คุณค่าที่อยู่เหนือกาลเวลา
ในปัจจุบันวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ เน้นการผลิตในโรงงานขนาดใหญ่ ที่สามารถผลิตรถยนต์ในแบบเดียวกันจำนวนมากในสายพานการผลิต (Mass Production) โดยใช้วัสดุในการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ เน้นความประหยัดเพื่อให้ได้ผลประกอบการที่มีกำไรสูง รถยนต์เหล่านั้นเป็นการผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองการดำเนินชีวิตของคนในสังคมยุค ใหม่ จนลืมคุณค่าและความยินดีที่ได้ครอบครองสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจโดยไม่รู้ตัว
Mitsuoka มีปรัชญาในการสร้างสรรค์รถยนต์คลาสสิค ที่เปี่ยมคุณค่าด้วยงานประกอบมือ (Hand Made) รถยนต์ทุกคันจึงมิใช่เป็นเพียงรถยนต์ธรรมดาคันหนึ่งทั่ว ๆ ไป เท่านั้น Mitsuoka บรรจงสร้างรถยนต์ในสไตล์งานศิลป์ ที่มีเส้นสายโค้งมนด้วยความประณีต และพิถีพิถันในทุกขั้นตอน สร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้เป็นเจ้าของว่า ได้ครอบครองงานศิลป์ที่มีจำนวนไม่มาก เป็นสมบัติล้ำค่าที่อยู่เหนือกาลเวลา เปรียบประดุจการได้มีโอกาสใช้ชีวิตในช่วงเวลาดี ๆ เช่น การชื่นชมความสวยงามของแฟชั่น การรับประทานอาหารรสชาติดี ๆ กับคนในครอบครัว เพื่อนรัก หรือคนรู้ใจ เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่แฝงไว้ด้วยความรัก ความผูกพัน และความสุข ซึ่งมีคุณค่าทางจิตใจที่ยากจะบรรยาย
แม้วันเวลาจะผ่านล่วงเลยไปยาวนานเพียงใดก็ตาม เรายังคงยืนยันที่จะผลิตรถยนต์แบบ Hand Made ด้วยการทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการสร้างสรรค์ เพื่อให้ได้งานศิลป์บนยานยนต์ สำหรับผู้ที่รักในความคลาสสิคเหนือกาลเวลานี้ตลอดไป



รถยนต์มิทสึโอกะที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ ได้แก่
1. Mitsuoka New Viewt รถคลาสสิคขนาดเล็ก ราคาเริ่มต้นที่ 1,990,000 บาท
2. Mitsuoka Himiko รถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ราคา 3,750,000 บาท
2. Mitsuoka Himiko Classic (Limited Edition) รุ่นตกแต่งพิเศษ สีทูโทน ดำ-แดง ราคา 3,880,000 บาท
3. Mitsuoka Orochi รถซุปเปอร์คาร์ ในสไตล์สปอร์ตแฟชั่นแบบญี่ปุ่น ราคา 9,500,000 บาท
ปัจจุบัน มิทสึโอกะ มอเตอร์เซลส์ (ประเทศไทย) มีโชว์รูมและศูนย์บริการ อยู่ที่ ถนนเพชรพระราม (ถนนริมคลองแสนแสบ) พระราม 9 โทร. 02 719 7942




วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

BMW ตัวแรกๆ






เบนท์ลีย์ Corniche ปี 1980

เบนท์ลีย์ Corniche เกิดควบคู่ไปกับ Rolls-Royce ที่มีชื่อเดียวกันและถึงแม้ว่ายอดขาย Rolls-Royce Bentley มากกว่า Corniche, รุ่นเบนท์ลีย์ได้รับการพิจารณามากขึ้นสปอร์ตและ exclusive.Between ปี 1971 และปี 1987 กว่า 140 Corniches เบนท์ลีย์ถูกผลิต, 77 ของพวกเขารุ่นเปิดประทุน
ปี: 1980
Make: เบนท์ลีย์
Model: Corniche
สถานที่ตั้งเครื่องยนต์: Front
ประเภทไดรฟ์: ล้อด้านหลัง
บอดี้ / เคสเหล็ก Unibody กับเฟรมเสริมด้านหน้าและด้านหลัง
ปีที่ผลิตสำหรับ: 1971-1996



Bentley S1 ปี 1955

รถพระที่นั่งของพระองค์เจ้าพีระ,Bentley S1 1955 ทรงใช้เป็นรถพระที่นั่งใช้ระหว่างประทับ ณ ประเทศอังกฤษ ปัจจุบัน นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรื่อง เป็นผู้ดูแล
ปี: 1956
Make: เบนท์ลีย์
รุ่น: S1
สถานที่ตั้งเครื่องยนต์: Front
ประเภทไดรฟ์: ล้อด้านหลัง
งานอาจารย์ใหญ่: พาร์ควอร์ด & Co, Mulliner
น้ำหนัก: £ 4140 | 1877.9 กก.