วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
Vespa GTV300ie Specification
Vespa ถือเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่เคียงคู่ยุคสมัย และความงามเสมอมา ถึงวันนี้เหล่าสายงานโมเดล "ชั้นยอด" ในอดีตกำลังจะถูกนำกลับมาฟื้นใหม่อีกครั้ง ด้วยสีสันสไตล์อิตาเลียน ในรุ่น Vespa GTV เวอร์ชั่น "Vie della Moda" (The Way of Fashion) หรือวิถีแห่งแฟชั่น ที่โดดเด่นด้วยโครงสี PLUM โฉบเฉี่ยวไม่เหมือนใคร ด้วยเกียรติศักดิ์และความเย้ายวนของทั้ง Vespa GTV "Vie della Moda" ที่ฉายเด่นกว่างานขับขี่โดยทั่วไป ทั้งในแง่ มนตรานุภาพ และ ความแยบยล ผ่านรูปทรงและคุณลักษณะการทำงาน ที่เกิดจากการรื้อตีความอัตลักษณ์เชิงศิลป์ HAUTE COUTURE เยี่ยงงานในยุค 1950 และ 1960 พละกำลังจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ทั้งรุ่น 4 วาล์ว 300 cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบ หัวฉีดอิเล็กทรอนิก และผ่านเกณฑ์มาตรฐานมลพิษ Euro3 เหนือชั้นด้วยระดับการตอบสนองและความยืดหยุ่น ผลดีจากการใช้ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะคืนกลับเป็นประโยชน์ในรูปของ จำกัดอัตราสิ้นเปลืองฯ และมลพิษ กลับมาอีกครั้ง กับชิ้นงานสุดอมตะของเวสป้า โมเดล "ชั้นยอด" ในอดีตกำลังจะถูกนำกลับมาฟื้นใหม่อีกครั้ง ด้วยสีสันสไตล์อิตาเลียน ในรุ่น Vespa GTV เวอร์ชั่น "Vie della Moda" (The Way of Fashion) หรือวิถีแห่งแฟชั่น ที่โดดเด่นด้วยโครงสี PLUM โฉบเฉี่ยวไม่เหมือนใคร VESPA GTV " Vie della Moda" ที่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูดเหนือกาลเวลา คงแบบฉบับความเป็น Vespa ด้วยการวางตำแหน่ง โคมไฟส่องสว่าง หน้าบังโคลน เช่นเดียวกับ แฮนด์บังคับเลี้ยว "Vie della Moda" รุ่นนี้ เบาะสองที่นั่ง บุหนัง ECO-LEATHER สวยสง่า นั่งสบาย ถอดแบบงาน Vespa ยุคดั้งเดิมด้วยการแยกเบาะหน้า-หลังจากกัน พละกำลังจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ทั้งรุ่น 4 วาล์ว 300 cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบ หัวฉีดอิเล็กทรอนิก และผ่านเกณฑ์มาตรฐานมลพิษ Euro3 หนังเบาะสีทับทิมรับกับงานตัวถังโทน “Rosso Chianti” รุ่นนี้โดยเฉพาะ แต่งสัมผัสให้สมกับการเป็นงาน "Vie della Moda" รุ่นพิเศษ ด้วยล้อห้าซี่ชุบโครเมียม สัญลักษณ์ "Vie della Moda" ของทั้ง GTV ได้แรงบันดาลใจจากป้ายถนนตามหานครใหญ่ ประทับอยู่บนผืนแผ่นโลหะรูปโล่ เพื่อสื่อถึงภาพลักษณ์ความภูมิฐานของรถ Vespa ชัยชนะของ Vespa ในการรื้อสร้างชิ้นงานสุดอมตะ GTV ผ่านคราบเงาของแบรนด์ใหม่ GTV "Vie della Moda" ที่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูดเหนือกาลเวลา คงแบบฉบับความเป็น Vespa ด้วยการวางตำแหน่ง โคมไฟส่องสว่าง หน้าบังโคลน เช่นเดียวกับ แฮนด์บังคับเลี้ยว - ท่อเหล็กธรรมดาเหมือนรถ Vespa ยุคแรก - ก็ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งกับใน "Vie della Moda" รุ่นนี้ เบาะสองที่นั่ง บุหนัง ECO-LEATHER สวยสง่า นั่งสบาย ถอดแบบงาน Vespa ยุคดั้งเดิมด้วยการแยกเบาะหน้า-หลังจากกัน เสริมงานท่อรวง เน้นความโดดเด่นในส่วนของเค้าโครง หนังเบาะสีทับทิมรับกับงานตัวถังโทน “Rosso Chianti” คัดสรรมาเพื่อ Vespa GTV "Vie della Moda" รุ่นนี้โดยเฉพาะ แต่งสัมผัสให้สมกับการเป็นงาน "Vie della Moda" รุ่นพิเศษ ด้วยล้อห้าซี่ชุบโครเมียม สัญลักษณ์ "Vie della Moda" ของทั้ง GTV ได้แรงบันดาลใจจากป้ายถนนตามหานครใหญ่ ประทับอยู่บนผืนแผ่นโลหะรูปโล่ เพื่อสื่อถึงภาพลักษณ์ความภูมิฐานของรถ Vespa
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
"Honda C Family"
รถ มอเตอร์ไซค์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นที่แม่ๆ ป้าๆ ใช้ขี่ไปตลาดจับจ่ายซื้อของเป็นที่คุ้นตา โดยเฉพาะในต่างจังหวัด วันนี้กลับเป็นที่ชื่นชอบของคนหนุ่มสาวในเมืองหลวง พยายามขวนขวายหามาเป็นเจ้าของสักคัน จากนั้นนำมาแปลงโฉมจนสวยงามเอี่ยมอ่อง แม้เจ้าของเดิมมาเห็นก็อาจจะจำไม่ได้ โดยเฉพาะราคาที่เปลี่ยนไปจนแม่บ้านหลายคนต้องแปลกใจว่าอย่างนี้ซื้อรถใหม่ ไม่ดีกว่าหรือ
ฮอนด้า ซี นี้คือรหัสของรถรุ่นพวกนี้ มันก็จะมีแยกไปเป็นซี 50 ซี, 65ซี, 70,ซี 90 และก็ซี 100 ตัวเลขก็คือซีซีของรถ อย่างซี 50 ก็คือ 50 ซีซี ซี 90 ก็รถ 90 ซีซี ภาสกร ปั้นเพชร หรือแบงก์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนาซี อธิบายถึงความแตกต่างของรถแต่ละคันที่จอดโชว์อยู่ให้ฟัง ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแต่ละรุ่นนั้นจะดูคล้ายกัน
เขาจะดูกันที่ถัง น้ำมัน ซี 70 ก็จะเป็นรุ่นที่ใหม่หน่อย ถังน้ำมันจะเชื่อมติดกับบังโคลนหลัง แต่ถ้าเป็นตัวเก่าหน่อยก็จะเป็นซี 50 ถังน้ำมันจะแยกออกได้จากตัวรถ แต่ถ้าเก่ากว่านี้ก็คือ ซี 100 กับซี เอ็ม 90 เขาชี้ให้ดูฮอนด้า ซี 100 สีเขียวไข่กาที่เป็นรุ่นต้นแบบของมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะ ในปัจจุบัน ส่วนซี เอ็ม 90 ที่จอดอยู่ข้างกันนั้น มีกะโหลกไฟโตกว่า และถังน้ำมันจะใหญ่กว่ารุ่นซี 100กัน เขาก็บอกว่ามันกลับมาได้สักประมาณ 4 ปีแล้ว ราคาตอนนี้ก็จะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ แล้ว ยิ่งรุ่นที่หายากหน่อยราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นไปอีก เช่น ซี 100 และซี เอ็ม 90 แล้วมันก็จะมีอีกรุ่นหนึ่งที่คล้ายๆ รุ่นนี้ คันนั้นจะเป็นสตาร์ทมือ เขาเรียกว่า ซี 102 คันนั้นก็จะแพงมาก น่าจะแพงที่สุดในบรรดารถผู้หญิงด้วยกัน
อย่างซี 50 สภาพที่ทำแล้วแบบนี้ ทางร้านก็จะขายอยู่ที่ราคา 20,000 แล้วมันก็จะมีซี 70 แบบ ที่มันยังไม่ได้ทำ เป็นสภาพเดิมๆ แบบที่เขาเรียกกันว่ารถบ้าน ตามภาษาพวกรถฮอนด้าด้วยกันเขาจะเรียกว่าสภาพรถแบบแห้งๆ หมายถึงแบบที่สีรถมันนานมาแล้วตั้งแต่สมัย 20-30 ปีที่แล้ว สีมันดูแห้งๆ ก็จะเริ่มตั้งแต่ราคา 5,000 บาทไปจนถึง 10,000 บาท
มันจะมีเหมือนเป็นออปชันในการขายรถ ว่ารถคันนี้ต่อทะเบียนมาแล้ว มีพ.ร.บ. ถ้ามอเตอร์ไซค์ที่ขายมี คนก็จะสนใจ เพราะเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องไปเสี่ยงเรื่องกฎหมายบ้านเมืองด้วย รถทำมาแล้วมีทะเบียนก็ราคาหนึ่ง ทำมาแล้วแต่ไม่มีทะเบียนมันก็จะอีกราคาหนึ่ง เครื่องยนต์ที่ผ่านการทำหรือที่เรียกว่าบิลต์แล้ว จะสามารถวิ่งได้ประมาณ 70-80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หลังจากทำเครื่องยนต์เสร็จก็จะเป็นขั้นตอนของการตกแต่ง ทั้งเปลี่ยนเบาะจากเบาะยาวเป็นเบาะคู่หรือเบาะเดี่ยวพร้อมตะแกรงท้ายรถ รวมทั้งการทำสีใหม่ด้วย
บางคนชอบแต่งแบบอนุรักษ์ ก็จะทำสีเป็นโทนสีเดิมๆ คือสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของรถที่ออกมาในตอนนั้น แต่บางคนอาจจะไม่ชอบสีเดิมของรถก็จะมาทำเป็นสีที่เขาเรียกกันว่าสีเบจ คือออกเป็นสีนวลๆ สีครีม สีชมพูอ่อน แล้วก็มีอีกแบบหนึ่งคือ แนวแฟชั่น ที่ทำสีแรงๆ อย่างสีม่วง สีส้ม สีเขียวตองอ่อน แล้วก็จะมาใส่ล้อซี่ลวดที่เขาเรียกว่าขึ้นซี่ลวดถี่ แล้วใส่ยางขอบขาว อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคนจะแต่ง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการบิลต์รถเก่าให้ดูใหม่แต่ละครั้ง แบงก์บอกว่าจะตกประมาณ 15,000-20,000 บาท ทั้งการชุบ ขัดเงา ทำสี อะไหล่ภายในรถและอะไหล่ตกแต่งล้อ ฯลฯ
ฮอนด้า ซี ก็คงไม่ต่างจากรถทั่วไป ที่เมื่อมีรุ่นใหม่มาแทนที่รุ่นเก่า ความนิยมก็ย่อมจะลดลง แต่เมื่อถูกจัดให้เป็นรถคลาสสิกแล้วนั้น ก็ย่อมเป็นอมตะไม่มีวันตายหรือสูญหายไปง่ายๆ รอเพียงเวลาที่คนรุ่นใหม่จะเห็นคุณค่าความสวยงามและกลับมานิยมใหม่อีกครั้ง
มันจะมีเหมือนเป็นออปชันในการขายรถ ว่ารถคันนี้ต่อทะเบียนมาแล้ว มีพ.ร.บ. ถ้ามอเตอร์ไซค์ที่ขายมี คนก็จะสนใจ เพราะเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องไปเสี่ยงเรื่องกฎหมายบ้านเมืองด้วย รถทำมาแล้วมีทะเบียนก็ราคาหนึ่ง ทำมาแล้วแต่ไม่มีทะเบียนมันก็จะอีกราคาหนึ่ง เครื่องยนต์ที่ผ่านการทำหรือที่เรียกว่าบิลต์แล้ว จะสามารถวิ่งได้ประมาณ 70-80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หลังจากทำเครื่องยนต์เสร็จก็จะเป็นขั้นตอนของการตกแต่ง ทั้งเปลี่ยนเบาะจากเบาะยาวเป็นเบาะคู่หรือเบาะเดี่ยวพร้อมตะแกรงท้ายรถ รวมทั้งการทำสีใหม่ด้วย
บางคนชอบแต่งแบบอนุรักษ์ ก็จะทำสีเป็นโทนสีเดิมๆ คือสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของรถที่ออกมาในตอนนั้น แต่บางคนอาจจะไม่ชอบสีเดิมของรถก็จะมาทำเป็นสีที่เขาเรียกกันว่าสีเบจ คือออกเป็นสีนวลๆ สีครีม สีชมพูอ่อน แล้วก็มีอีกแบบหนึ่งคือ แนวแฟชั่น ที่ทำสีแรงๆ อย่างสีม่วง สีส้ม สีเขียวตองอ่อน แล้วก็จะมาใส่ล้อซี่ลวดที่เขาเรียกว่าขึ้นซี่ลวดถี่ แล้วใส่ยางขอบขาว อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคนจะแต่ง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการบิลต์รถเก่าให้ดูใหม่แต่ละครั้ง แบงก์บอกว่าจะตกประมาณ 15,000-20,000 บาท ทั้งการชุบ ขัดเงา ทำสี อะไหล่ภายในรถและอะไหล่ตกแต่งล้อ ฯลฯ
ฮอนด้า ซี ก็คงไม่ต่างจากรถทั่วไป ที่เมื่อมีรุ่นใหม่มาแทนที่รุ่นเก่า ความนิยมก็ย่อมจะลดลง แต่เมื่อถูกจัดให้เป็นรถคลาสสิกแล้วนั้น ก็ย่อมเป็นอมตะไม่มีวันตายหรือสูญหายไปง่ายๆ รอเพียงเวลาที่คนรุ่นใหม่จะเห็นคุณค่าความสวยงามและกลับมานิยมใหม่อีกครั้ง
วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
ตุ๊กตุ๊ก"หัวกบ"...แปลงโฉมกับความสุขที่ได้สัมผัส
เมื่อหลายวันก่อนข้าพเจ้าได้มีโอกาสยลโฉมตุ๊กตุ๊ก "หัวกบ" ....จากเมืองตรังที่ตกแต่งโฉมร่างน่ารักและคลาสสิกมาก เป็นสีทูโทน ชมพู-ครีม
ภาย ในห้องโดยสารตกแต่งทำเบาะนั่งใหม่ที่ดูน่านั่งมาก อารมณ์ของคนแต่งนี้ไม่เบาเหมือนกันที่สามารถทำให้รถโบราณจากแดนปลาดิบนี้มี เสน่ห์เพิ่มขึ้น
สำหรับข้าพเจ้าเองก็ไม่รอช้า...
ที่จะต้องกลับมาค้นหาข้อมูลและที่มาที่ไปอย่างจริงๆ จังๆ...
เป็นเรื่องที่น่าทึ่งและยินดีสำหรับข้าพเจ้าเองที่ได้มีโอกาสนั่งรถตุ๊กๆ คันนี้ ในค่ำคืนที่มีฝนตกปรอยๆ ลงมา เจ้ารถคันนี้ทะยานไปบนท้องถนนที่ค่อนข้างว่างรถไปตามเส้นทางในขอนแก่น มุ่งหน้าเข้าสู่ชุมชนโซนติดมหาวิทยาลัยเพื่อไปร้านกาแฟที่มาทราบทีหลังคือ ของเจ้าปิ่น-สาวอารมณ์ดี รุ่นน้องที่เรียนจบจากคณะศิลปกรรม
ระหว่างที่รถวิ่งผ่านไป...ตามเส้นทาง
ได้รับความสนใจจากคนที่ผ่านไปและสวนทางตลอด อาจด้วยเสียงที่ดังเป็นเอกลักษณ์ และหน้าตาของเธอที่ช่างไฉไลยิ่งนัก แม้แต่กลุ่มวัยรุ่นที่นั่งสังสรรค์กันอยู่ร้านริมถนนต่างพากันลุกขึ้นยืนดู และปรบมือ...ด้วยท่าทางอันตื่นตลึงและเห็นรอยยิ้มตามมา ข้าพเจ้ามองว่าเจ้าตุ๊กตุ๊กน้อยคันนี้...ช่างได้แจกจ่ายความสุขสู่ผู้อื่นได้ดีจริงเทียว
เมื่อรถเลี้ยวเข้าไปในซอย มีมอเตอร์ไซด์หลายคันที่ต้องเหลียวหันกลับมาดู และยิ้มรับเจ้ารถคันน้อยนี้ด้วยความตื่นเต้นต่อการพบเห็น ทันทีที่รถไปจอดอยู่ที่หน้าร้านกาแฟ-เป้าหมายที่เราจะไปถึงนั้น เด็กๆ นักศึกษาและลูกค้าในร้านต่างพากันหันมามองด้วยเสียงที่เธอเจ้ารถคันน้อยส่ง เสียงให้ผู้คนต้องเหลียวมอง
ขณะที่เราพากันนั่งอยู่ในร้าน...
ข้าพเจ้าเดินออกมาเมียงมองไปที่เจ้ารถคันน้อยที่จอดอยู่อย่างสงบ...ริม บึง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเธอช่างเหมือนสาวน้อยที่เหนียมอาย แต่เธอมีเสียงหัวเราะอันเบิกบานและแจ่มใส ที่ใครๆ ได้ยินเป็นต้องเหลียวหันมามอง ที่ได้พบเจอเธอก็จะหลงรักและมีความสุข... เพราะเธอช่างไม่เหมือนใครเลยในละแวกนี้
แม้แต่เจ้าปิ่นเอง... ก็แสดงถึงอาการชื่นชอบ เธอเล่าให้ฟังว่าเพื่อนรุ่นน้องที่ได้เจอรถคันนี้นั้นถึงกับอยากได้มาใช้...
มาดูที่มาที่ไปของรถเจ้าประเภทนี้...ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปอ่านเจอในเวบหลายเวบ...
ประวัติรถตุ๊กตุ๊ก
หัวกบรุ่นดั้งเดิม ถูกส่งลงเรือจากญี่ปุ่น แล้วมาต่อรถไฟ ไปเมืองตรัง ลักษณะตัว รถจะเป็นกระบะสามล้อขนาดเล็กไม่มีหลังคา ครอบด้านหลังต่อมาช่างไทยได้ปรับแต่ง เพิ่มหลังคาเข้าไปเพื่อกันร้อน กันฝนให้ผู้โดยสาร หลายคนสงสัยทำไมคนตรังต้องใช้ ้รถตุ๊กตุ๊กหัวกบ เฉลย....เพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ในเขตเมืองตรังส่วนใหญ่ เป็น ลอนลูกฟูก หรือที่คนพื้นถิ่นเรียกว่า “ควน” แปลว่าเนิน การใช้รถสามล้อเครื่องทุ่น แรง จึงมีความเหมาะสมและสะดวก สามารถซอกซอน ไปตามซอกซอยคับแคบได้โดย ง่ายดาย
จักรยานล้อโต
ถ้าจะพูดถึงเรื่องราวของความที่เป็นที่สุดในโลกนั้น คนไทยอย่างเราๆก็ไม่น้อยหน้าที่ไหนในโลกเหมือนกัน
อย่างวันนี้หมูหินได้มาชมสิ่งที่เป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่ง
ที่คนไทยเราได้คิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง
โดยการนำเอาความชื่นชอบมาผสมผสานกับความเก่าคลาสิคของรถจักรยาน ทำให้เกิดสิ่งที่เป็นที่สุดในโลกอีกชิ้นในประเทศไทย
อย่างวันนี้หมูหินได้มาชมสิ่งที่เป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่ง
ที่คนไทยเราได้คิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง
โดยการนำเอาความชื่นชอบมาผสมผสานกับความเก่าคลาสิคของรถจักรยาน ทำให้เกิดสิ่งที่เป็นที่สุดในโลกอีกชิ้นในประเทศไทย
หลายๆคนคงเคยพบเห็นรถจักรยานโบราณมา
มากมายหลายชนิด หลากหลายรูปแบบ
และหลายๆคนคงจะเคยเห็นเจ้าจักรยานที่มีล้อหน้าโตๆ
ที่มีที่นั่งปั่นอยู่เหนือล้อที่โตๆกันมาบ้างแล้ว น
บางคนอาจะเคยเห็นในภาพยนต์ บางคนอาจจะเคยเห็นในรายการทีวีต่างๆ
แต่ที่เห็นๆกันมาน่ะอาจจะยังโตไม่พอ
ไม่เป็นไรครับวันนี้หมูหินจะพามาดูเจ้าจักรยานล้อโตที่ว่านี้อย่างใกล้ๆ
แบบคันเป็นๆเลย
แถมยังเป็นคันที่ล้อโตที่สุดในบ้าน...ไม่สิ..ล้อโตที่สุดในโลกเลยครับ
(หรือโตที่สุดในจักรวาล เพราะนอกโลกคงไม่ใช้กัน..555 ขำกันหน่อยนะ
อย่าให้ฝืด)
มากมายหลายชนิด หลากหลายรูปแบบ
และหลายๆคนคงจะเคยเห็นเจ้าจักรยานที่มีล้อหน้าโตๆ
ที่มีที่นั่งปั่นอยู่เหนือล้อที่โตๆกันมาบ้างแล้ว น
บางคนอาจะเคยเห็นในภาพยนต์ บางคนอาจจะเคยเห็นในรายการทีวีต่างๆ
แต่ที่เห็นๆกันมาน่ะอาจจะยังโตไม่พอ
ไม่เป็นไรครับวันนี้หมูหินจะพามาดูเจ้าจักรยานล้อโตที่ว่านี้อย่างใกล้ๆ
แบบคันเป็นๆเลย
แถมยังเป็นคันที่ล้อโตที่สุดในบ้าน...ไม่สิ..ล้อโตที่สุดในโลกเลยครับ
(หรือโตที่สุดในจักรวาล เพราะนอกโลกคงไม่ใช้กัน..555 ขำกันหน่อยนะ
อย่าให้ฝืด)
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
Rolls Royce Sedanca Coupe รถแห่งประวัติศาสตร์สยาม
นี่คงจะเป็นการสร้าง ประวัติศาสตร์ครั้งแรก แห่งยุค ที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์หนึ่งในตำนาน ซึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์และชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ซึ่งเป็นรถยนต์ส่วนตัวคันโปรดของพระองค์เจ้าพีระ ที่ได้ชนะเลิศในการแข่งขันมากมายและได้รับการทำนุบำรุงรักษาและปรับแต่งเป็น อย่างดีในประเทศอังกฤษ และพร้อมแล้วสำหรับการเปิดประมูลผ่านทางระบบออนไลน์
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีระพงศ์ภาณุเดช (พระองค์เจ้าพีระ) ถือเป็นชาวสยามคนแรกที่ร่วมแข่งขันรถยนต์ระดับโลก และสร้างเกียรติประวัติด้วยการชนะเลิศหลายรายการจนทำให้ประเทศไทยนั้นมีชื่อ เสียงโด่งดังไปทั่วโลก พระองค์เจ้าพีระได้ครอบครองรถยนต์ Rolls Royce Sedanca Coupe ปี ค.ศ.1937 รถคันโปรด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1937 จนถึงปี ค.ศ. 1949 โครงสร้างแบบ ELR947 ของรถคันนี้เป็นโครงสร้างรูปแบบพิเศษ 1201 25/30 ซึ่งผลิตโดยบริษัท Gurney Nutting ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถเฉพาะสำหรับราชวงศ์อังกฤษ
รถยนต์ Rolls Royce Sedanca Coupe วาง เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง (4257ซีซี) ขนาด 4 ¼ ลิตร ซึ่งได้รับการเดินเครื่องยนต์อยู่ตลอดเพื่อทำนุบำรุง ปรับแต่ง และรถยนต์คันดังกล่าวนี้มีสมรรถนะการขับเคลื่อนที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ด้วยพลังเครื่องยนต์ 4 สปีดที่ง่ายต่อการใช้ ผนวกกับระบบคลัชที่ยอดเยี่ยม และ ระบบเบรคที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่
โดย ระหว่างกลางปีทศวรรษ 1970 ถึงปี ค.ศ. 1997 รถของพระองค์เจ้าพีระได้อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และถูกเคลื่อนย้ายมาที่สหราชอาณาจักรเพื่อทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ ทั้งในส่วนการตกแต่งให้สวยงามและด้านพัฒนาปรับแต่งเครื่องยนต์ โดยปี ค.ศ. 1998 รถยนต์คันดังกล่าวนี้ยังได้รับการจารึกลงบนหน้าปกผลงานของกษัตริย์เบอร์นา ร์ด ที่มีชื่อว่า “The Rolls Royce 25/30 HP and Wraith”
ส่วน ในปีค.ศ. 2004 รถของพระองค์เจ้าพีระ ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในรถยอดเยี่ยม 19 คันที่นำมาแสดงโชว์ในงานเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความเร็วของ Goodwood ซึ่งงานในครั้งนี้ถือเป็นงานแสดงรถ Rolls Royce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ยิ่งไปกว่านั้นในปี ค.ศ. 2006 รถคันดังกล่าวนี้ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นรถก่อนสงครามที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการได้รับเกียรติในการนำไปโชว์ที่ประเทศฝรั่งเศสตอนเหนือในปีที่ผ่าน มาอีกด้วย
การ เปิดประมูลรถยนต์ในครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสครั้งสำคัญของทุกคนที่ต้องการ เป็นเจ้าของ อดีตรถคันโปรดซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ให้แก่ราชวงศ์ไทย ทุกคนที่รักการขับขี่รถแข่งตลอดจนนักสะสมสามารถชมรถยนต์ Rolls Royce Sedanca Coupe ปีค.ศ.1937 สภาพเยี่ยมสมบูรณ์
Fiat 124 Sport Spider รถส่งออกชั้นดีจากอิตาลี
เฟียต 124 สปอร์ตสไปเดอร์ (Fiat 124 Sport Spider)คือผลผลิตของเฟียตแห่งอิตาลี มีสายการผลิตเป็นระยะเวลา 20 ปี โดยส่วนใหญ่ของรถรุ่นนี้ส่งออกไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
Sport Spider เริ่มเปิดตัวในงานแสดงรถยนต์ที่ตูรินเดือนพฤศจิกายน 1966 จากนั้นรถตัวน้องคือ Fiat 124 Coupeก็คลอด ตามมาในปี 1967 รถสองคันนี้มีความเกี่ยวข้องกับ Fiat 124 Sedan ซึ่งผลิตขึ้นมาก่อนหน้านั้น เนื่องจากใช้ระบบส่งกำลัง ที่ต่อเนื่องกันมา แต่ความแตกต่างของพวกมันก็มีให้เห็นเด่นชัดเช่นกัน โดยเฉพาะ Spider ที่มีฐานล้อสั้นกว่า Coupe กับ Sedan นอกจากนี้ตัวถังของ Spider ยังออกแบบและผลิตโดยบริษัทออกแบบรถชื่อก้องโลก พินินฟารีน่า (Pininfarina) ขณะที่ Coupe กับ Sedan ออกแบบและผลิตตัวถังโดยเฟียตเอง
เครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ และเหล่าพี่น้องออกแบบโดยออเรลิโอ ลัมเปรดี้อดีตหัวหน้าวิศวกรรมของเฟอร์รารี่ โดยลัมเปร ดี้เพิ่มขนาดความจุให้รถขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มต้นด้วยขนาด 1438 ซี.ซี. ในปี 1966 แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 1608 ซี.ซี. ในปี 1970 (ลดลง มาเหลือ 1592 ซี.ซี. ในปี 1973) ตามด้วย 1756 ซี.ซี. ในปี 1974 และปิดท้ายด้วย 1995 ซี.ซี. ในปี 1979 ปี 1980 มีการ เปลี่ยนแปลงระบบจ่ายเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์ไปเป็นหัวฉีด นอกจากนั้นยังมีแบบที่ติดเครื่องยนต์เทอร์โบ เรียกว่า Volumex ในช่วงปลายของสายการผลิต แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก
เครื่องยนต์ที่มีพื้นฐานการออกแบบของลัมเปรดี้ ยังคงถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งศตวรรษ 1990 ถือเป็นเครื่องยนต์ที่อยู่ยงค์คงกระพันที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยมีมาใน ประวัติศาสตร์ ทั้ง Spider และ Coupe ถูกส่งออกไปจำหน่าย ยังสหรัฐครั้งแรกในปี 1968 พอถึงปี 1969 Spider ก็เป็นรถตลาดราคายุติธรรมรุ่นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ติดดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ นอกจากนี้พวกเขายังมีสิ่งนำเสนอให้ลูกค้าก็คือ ระบบส่งกำลัง 5 สปีด ยางเรเดียล ดับเบิลโอเวอร์เฮด แคมชาฟท์ หลังคาประทุนที่สามารถติดตั้งได้ภายใน 15 วินาที ราคาขายของ Spider ในสหรัฐสำหรับปี 1968อยู่ ที่ 3,250 เหรียญสหรัฐ ใกล้เคียงกับวอลโว่ 122 (3,000 เหรียญ) และพลีมัธ บาร์ราคูดา เครื่อง 340ci (3,200 เหรียญ สหรัฐ)
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555
จักรยานโบราณ ถึงเก่าแต่ก็เก๋า
จักรยานโบราณ ถึงเก่าแต่ก็เก๋า
ในประเทศไทยที่ได้ทราบจากบันทึกจดหมายเหตุรายวันจึงเห็นเป็นได้ว่ามีรถ ถีบได้เข้ามาเป็นครั้งแรกในช่วงสมัย ร.๕ การสั่ง - ซื้อ-ส่งจักรยานโดยทางเรือจากยุโรปมาถึงไทยในสมัยนั้นใช้เวลาเกือบปี ดังนั้นจึงถือเอาว่ารถจักรยานปรากฏในสยามช่วงปี พ.ศ. 2420 โดยบันทึกเป็นทางการเมื่อ วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2425 เป็นปที่เริ่มต้นจักรยานในประเทศ ไทยนับเนื่องถึงปัจจุบันนี้ยาวนานถึง 117 ปีแล้ว
เชื่อกันว่ารถจักรยานใน สยาม ที่รู้จักกันในนาม รถถีบ มีเข้ามาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ ๔ ตอนปลายแล้ว ( ระหว่าง พ.ศ.2394 - 2411 ) ตรงกับ ค.ศ. 1851 - 1868 ซึ่งเป็นปีที่ฝรั่งเศษ, เยอรมัน, อังกฤษระดมความคิดสร้างสรรค์จักรยานประดิษฐกรรมเฟื่องฟูที่สุดก่อนเปิดยุค อุตสาหกรรมพัฒนาถึงขั้นผลิตส่งออกขายทั่วโลกในปี๑๘๘๕
ในฝรั่งเศษเอง คลั่งใคล้จักรยานมากที่สุดในปี 1867 หลังจากนั้น 1 ปี จึงจะมีคนริเริ่มทำจักรยานเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ในปี 1869 บริษัทโครเวนตี้ ที่อังกฤษเริมผลิตจักรยานล้อโตชื่อ เพนนีพาร์ ทิง ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกจนเป็นที่มาของจักรยานที่ปรากฏเห็นกันในสยามตาม บันทึก
ต่อมาในสมัย ร. ๕ รถจักรยานเข้ามาในสยาม เป็นพาหนะส่วนตัวที่ชาวกรุงนิยมนัก ถีบกันเกร่อทั้งไทยและเทศรถถีบสมัย ร.๕ ระหว่าง พ.ศ. 2411 - 2453 ค.ศ. 1868 - 1910 มีการสั่งจักรยานมาขายเป็นครั้งแรก กรมหลวงราชบุรีฯ สั่งจักรยานมา 1๐๐ คัน กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ สั่งจักรยานมา 1๐๐ คัน มีการฝึกหัดขี่จักรยานในรั้ววังฯ....มีการประกวดแฟนซีขี่จักรยาน...มีการ ตั้งสโมสรผู้ขี่จักรยาน และมีการซื้อขายเป็นต้นแบบการค้าจักรยานครั้งแรกใน สยาม
การจำหน่ายจักรยานในสมัยนั้นไม่มีใครบันทึกว่าเป็นรถอะไร ...ยี่ห้ออะไร... มีแต่การประกาศขายโดยผ่านประเทศสิงคโปร์ ในยุคนั้น ปรากฏชื่อจักรยานตรา ROYAL PSYCHO จากหนังสือพิมพ์บางกอกไตม์ เมื่อ 5 ตุลาคม 2435 ทำให้เชื่อได้ว่าคนไทย มีจักรยานตรา ROYAL PSYCHO ใช้ในสมัย ร.๕ แล้วหนึ่งตรา ในรัชกาลที่ ๖ รถจักรยานได้มีบทบาท ในท้องถนนไมแพ้ รถยนต์ เนื่องจากราษฎรสามารถที่จะซื้อมาขี่ได้.สะดวกกว่าแต่ก่อนเพราะนอกจากจะมีขาย ในกรุงเทพ ฯและต่างจังหวัดแล้ว ราคาก็ถูกกว่าแต่แรกหลายเท่า รถจักรยานจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย
ในสงครามอินโดจีน รถจักรยานก็มีส่วนใช้เป็นยานพาหนะในกองทัพบกของไทย ด้วย จักรยานยี่ห้อ ฟิลลิปส์ สมัยนั้นราคา 800 บาท ยี่ห้อ ซันบีม เป็นรถแบบสปอร์ต ราคาคันละ 1,200 บาท หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา รถจักรยานยี่ห้อ ราเลย์ และ ยี่ห้อ ซัมบีม เป็นรถที่ดีที่สุด และ ราคาแพงที่สุดตามลำดับปัจจุบันรถจักรยานสามารถสร้างขึ้นได้ในเมืองไทย ราคาจึงขายกันเพียงคันละ 300 - 400 บาทเท่านั้น และยังพลอยทำให้จักรยานนอกราคาถูกลงด้วยเห็นงามตามเขาในความเป็นจริง จักรยานไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์หรือผลผลิตของคนไทย เพียง เห็นงามตามเขา แบบที่พูดกันว่า ฝรั่งทำ เจ๊กขาย ไทยถีบ คนไทยเคยใช้จักรยานมานานถึง 117 ปี แล้ว
ในฝรั่งเศษเอง คลั่งใคล้จักรยานมากที่สุดในปี 1867 หลังจากนั้น 1 ปี จึงจะมีคนริเริ่มทำจักรยานเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ในปี 1869 บริษัทโครเวนตี้ ที่อังกฤษเริมผลิตจักรยานล้อโตชื่อ เพนนีพาร์ ทิง ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกจนเป็นที่มาของจักรยานที่ปรากฏเห็นกันในสยามตาม บันทึก
ต่อมาในสมัย ร. ๕ รถจักรยานเข้ามาในสยาม เป็นพาหนะส่วนตัวที่ชาวกรุงนิยมนัก ถีบกันเกร่อทั้งไทยและเทศรถถีบสมัย ร.๕ ระหว่าง พ.ศ. 2411 - 2453 ค.ศ. 1868 - 1910 มีการสั่งจักรยานมาขายเป็นครั้งแรก กรมหลวงราชบุรีฯ สั่งจักรยานมา 1๐๐ คัน กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ สั่งจักรยานมา 1๐๐ คัน มีการฝึกหัดขี่จักรยานในรั้ววังฯ....มีการประกวดแฟนซีขี่จักรยาน...มีการ ตั้งสโมสรผู้ขี่จักรยาน และมีการซื้อขายเป็นต้นแบบการค้าจักรยานครั้งแรกใน สยาม
การจำหน่ายจักรยานในสมัยนั้นไม่มีใครบันทึกว่าเป็นรถอะไร ...ยี่ห้ออะไร... มีแต่การประกาศขายโดยผ่านประเทศสิงคโปร์ ในยุคนั้น ปรากฏชื่อจักรยานตรา ROYAL PSYCHO จากหนังสือพิมพ์บางกอกไตม์ เมื่อ 5 ตุลาคม 2435 ทำให้เชื่อได้ว่าคนไทย มีจักรยานตรา ROYAL PSYCHO ใช้ในสมัย ร.๕ แล้วหนึ่งตรา ในรัชกาลที่ ๖ รถจักรยานได้มีบทบาท ในท้องถนนไมแพ้ รถยนต์ เนื่องจากราษฎรสามารถที่จะซื้อมาขี่ได้.สะดวกกว่าแต่ก่อนเพราะนอกจากจะมีขาย ในกรุงเทพ ฯและต่างจังหวัดแล้ว ราคาก็ถูกกว่าแต่แรกหลายเท่า รถจักรยานจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย
ในสงครามอินโดจีน รถจักรยานก็มีส่วนใช้เป็นยานพาหนะในกองทัพบกของไทย ด้วย จักรยานยี่ห้อ ฟิลลิปส์ สมัยนั้นราคา 800 บาท ยี่ห้อ ซันบีม เป็นรถแบบสปอร์ต ราคาคันละ 1,200 บาท หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา รถจักรยานยี่ห้อ ราเลย์ และ ยี่ห้อ ซัมบีม เป็นรถที่ดีที่สุด และ ราคาแพงที่สุดตามลำดับปัจจุบันรถจักรยานสามารถสร้างขึ้นได้ในเมืองไทย ราคาจึงขายกันเพียงคันละ 300 - 400 บาทเท่านั้น และยังพลอยทำให้จักรยานนอกราคาถูกลงด้วยเห็นงามตามเขาในความเป็นจริง จักรยานไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์หรือผลผลิตของคนไทย เพียง เห็นงามตามเขา แบบที่พูดกันว่า ฝรั่งทำ เจ๊กขาย ไทยถีบ คนไทยเคยใช้จักรยานมานานถึง 117 ปี แล้ว
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555
“มิทสึโอกะ” เปิดตัวรถยนต์คลาสสิครุ่นเล็กใหม่ล่าสุด แห่งแรกก่อนประเทศญี่ปุ่น “นิว บิวท์โตะ” (NEW VIEWT)
บริษัท มิทสึโอกะ มอเตอร์เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถยนต์คลาสสิกรุ่นเล็กรุ่นใหม่ล่าสุด “นิว บิวท์โตะ” พร้อมนำรถยนต์สวยสไตล์คลาสสิคอวดโฉม รวม 4 รุ่น
1. นิวบิวท์โตะ (NEW VIEWT) รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นการเปิดตัวเป็นครั้งแรกก่อนประเทศญี่ปุ่น บิวท์โตะเป็นรถยนต์ที่ทางมิทสึโอกะ มอเตอร์ (Mitsuoka Motor) สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้ผู้ขับขี่ ได้ใช้รถยนต์ขนาดเล็กที่มีความสวยงาม มีเสน่ห์ และน่ารัก ในขณะเดียวกันก็ดูหรูหราใน สไตล์คลาสสิคตั้งแต่ ปีคริสตศักราช 1993 ณ เมืองโทยามะ ประเทศญี่ปุ่น
บิวท์โตะ เป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง (Big Hit) และยาวนานมากที่สุด (Long Seller) ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันอย่างน่าทึ่ง สามารถครองใจผู้รักรถในสไตล์นี้ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ซึ่งเป็นยอดขายที่มีมากกว่ารถยนต์ในขนาดเดียวกันที่ผลิตจำนวนน้อยแบบ Hand Made
ด้วยดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ที่มีชีวิต สามารถแสดงสีหน้า และอารมณ์ได้หลากหลาย รูปลักษณ์โดดเด่น ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หลงใหล ทำให้รำลึกย้อนสู่อดีตวันวานอันแสนหวานที่น่าจดจำ ดวงไฟหน้ากลมโตอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ Mitsuoka ทุกรุ่น ตกแต่งกระจังหน้าด้วยเหล็กซี่แนวตั้งเคลือบโครเมี่ยม อีกทั้งกันชนเหล็กหน้า-หลัง งามสง่าด้วยโครเมี่ยมมันวาว ตัวถังรูปทรงโค้งมนเรียวลู่ หรูหราในทุกมุมมอง อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์รุ่นบิวท์โตะโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการมองจากด้านหน้า หรือด้านท้าย สวยสะดุดตา เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเส้นสายงานศิลป์ ที่บรรจงสร้างอย่างได้สัดส่วน นอกจากนี้ ยังเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยครบครัน เช่นเดียวกับรถยนต์สมัยใหม่ ให้คุณใช้รถได้อย่างอบอุ่นใจ สะดวกสบาย ปลอดภัยในการใช้งาน และยังมั่นใจได้ในความน่าเชื่อถือ อีกทั้งง่ายต่อการบำรุงรักษาแตกต่างจากรถคลาสสิคอื่นๆทั่วไป
ภายในตกแต่งด้วยวัสดุที่บรรจงคัดสรรอย่างดีที่สุด ทั้งลายไม้สุดคลาสสิค และเบาะหนังแท้คุณภาพดีเยี่ยม (เป็นอุปกรณ์เลือกตกแต่งเพิ่ม-ไม่ใช่อุปกรณ์มาตรฐาน)
2. โอโรจิ (OROCHI) รถยนต์รุ่นที่มีทาง มิทสึโอกะ มอเตอร์ ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ได้รับการจุดประกายความคิดในการสร้างสรรค์ จากความใฝ่ฝันของท่านประธานกรรมการ ที่ต้องการผลิตรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ ในสไตล์สปอร์ตแฟชั่น ให้ผู้ขับขี่ทุกท่านสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยเน้นความเพลิดเพลินในการขับขี่เป็นสำคัญ มิทสึโอกะ มอเตอร์ ออกแบบโครงสร้างรถยนต์รุ่นนี้ขึ้นโดยใช้ ออริจินัล สตีล สเปซ เฟรม (Original Steel Space Frame) ของ มิทสึโอกะเอง เครื่องยนต์ขนาด 3,300 ซีซี. V-Series 6 สูบ วางเครื่องยนต์แบบ มิดชิป เอนจิ้น เลย์เอาท์ (Midship Engine Layout) เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุดที่ 233 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 328 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที
โอโรจิ ได้รับรางวัล คาร์ ออฟ เดอะ เยียร์ (Car of The Year) ในช่วงปี 2006 – 2007 ณ ประเทศญี่ปุ่นในด้านการออกแบบ โดยใช้แนวคิดจากรูปลักษณ์ของอสรพิษในตำนานญี่ปุ่นที่ดูลึกลับ ปราดเปรียว น่าเกรงขาม แต่แฝงไว้ด้วยความงดงามในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเส้นสายงานศิลป์บนตัวถัง การตกแต่งไฟหน้า และไฟท้าย อย่างเหมาะเจาะลงตัว
การสร้างสรรค์รถยนต์ในจินตนาการเช่นนี้ ให้สามารถโลดแล่นบนท้องถนนได้จริง เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เพื่อให้ได้รถยนต์ที่คงดีไซน์ที่ประณีตทุกรายละเอียดไว้ ช่างฝีมือที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ของมิทสึโอกะ มอเตอร์ จึงต้องทุ่มเทเวลา และความพยายามพิถีพิถันในการผลิตรถแต่ละคันขึ้นมา อีกทั้งต้องควบคุมทุกรายละเอียดให้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจำนวนมากตามข้อ กำหนดของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
โอโรจิ เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ทางเราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความพิถีพิถัน ละเอียดอ่อน ในทุกขั้นตอนการผลิต ดังนั้นเมื่อถึงวันที่รถประกอบเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ จึงเปรียบประดุจวันส่งตัว บุตรธิดา ที่เราเลี้ยงดูให้เติบโตแข็งแรงเข้าสู่ประตูวิวาห์กับคู่ครองที่คู่ควรเช่น คุณ
3. ฮิมิโกะ (HIMIKO) ยนตรกรรมสปอร์ตคลาสสิค 2 ที่นั่ง ที่ตั้งชื่อตามองค์ราชินี “ฮิมิโกะ” ผู้ปกครองอาณาจักร “ยามาไต” ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณที่มีอยู่จริงเมื่อประมาณ 1,800 ปีมาแล้ว ชื่อรุ่น “ฮิมิโกะ” นี้ ให้ภาพความสง่างาม เกียรติยศ และรัศมีแห่งความงดงามที่เปี่ยมคุณค่า น่าหลงใหล มีพลังที่น่าดึงดูดใจตามรูปลักษณ์ของราชินีซึ่งเหมาะสมกับรถรุ่น “ฮิมิโกะ” อย่างแท้จริง
ดีไซน์เนอร์ได้ให้ความสำคัญกับการผสมผสานกลมกลืน ระหว่างรูปลักษณ์ของรถยนต์สมัยใหม่ กับเส้นสายโค้งมนของรถคลาสสิค เป็นความเพียรพยายามในการสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน ให้มีดีไซน์สปอร์ตคลาสสิค แบบลองโน๊ส / ช๊อตเดค (Long-nose / Short-deck) กล่าวคือ อัตราส่วนระหว่าง ความยาวของบังโคลนหน้ากับช่วงท้ายรถ เป็นอัตราส่วนทอง คือ 7 : 3 เรียกได้ว่า “ฮิมิโกะ” เป็นรถที่มีดีไซน์งดงามตามแบบรถคลาสสิค ที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ในโลกปัจจุบัน เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบยนตรกรรมสมัยใหม่ สะดวกสบายในการขับขี่ ทำให้ “ฮิมิโกะ” มีความงดงามเปรียบประดุจอัญมณีล้ำค่า จนทำให้ท่านตกหลุมรักได้ตั้งแต่แรกพบ
ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2000 ซีซี ขับเคลื่อนล้อหลัง 4 สูบ 16 วาล์ว กำลังสูงสุด 119 กิโลวัตต์ ที่ 6,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 189 นิวตัน-เมตร ที่ 5,000 รอบต่อนาที กำลังสูงสุดที่ 162 แรงม้า ระบบหัวฉีด EGI เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และสามารถปรับเปลี่ยนเป็น Manual Shift Mode เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะในการขับขี่ เร่งแซงทันใจ โฉบเฉี่ยว สไตล์สปอร์ตอย่างแท้จริง เปิดประทุนได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลา 12 วินาที
4. ฮิมิโกะ คลาสสิค (HIMIKO CLASSIC) รถยนต์เวอร์ชั่นใหม่ ตกแต่งพิเศษ โดดเด่นด้านงานศิลป์ด้วยตัวถังสีทูโทน บริลเลี่ยนแบล็ค/สตรองเรด (Brilliant black/Strong red) ให้ภาพลักษณ์ความหรูหรา สง่างาม
เบาะที่นั่งพร้อมแผงประตูหนังแท้สีแดง คัดสรรเป็นพิเศษจากหนังแท้ชั้นเลิศคุณภาพดี ตัดเย็บด้วยช่างฝีมือประณีต ภายในตกแต่งด้วยลายไม้สวยเก๋ คลาสสิคอย่างเหมาะเจาะลงตัว เพิ่มความหรูหราอีกระดับด้วยคิ้วโครเมี่ยมรอบคัน
ฮิมิโกะ คลาสสิค เป็นรุ่นลิมิเตด เอดิชั่น (Limited Edition) ที่มีแผนการผลิต และจำหน่ายในประเทศไทยเพียง 20 คัน เท่านั้น
ปรัชญาในการประกอบรถยนต์ ของ MITSUOKA คือ คุณค่าที่อยู่เหนือกาลเวลา
ในปัจจุบันวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ เน้นการผลิตในโรงงานขนาดใหญ่ ที่สามารถผลิตรถยนต์ในแบบเดียวกันจำนวนมากในสายพานการผลิต (Mass Production) โดยใช้วัสดุในการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ เน้นความประหยัดเพื่อให้ได้ผลประกอบการที่มีกำไรสูง รถยนต์เหล่านั้นเป็นการผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองการดำเนินชีวิตของคนในสังคมยุค ใหม่ จนลืมคุณค่าและความยินดีที่ได้ครอบครองสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจโดยไม่รู้ตัว
Mitsuoka มีปรัชญาในการสร้างสรรค์รถยนต์คลาสสิค ที่เปี่ยมคุณค่าด้วยงานประกอบมือ (Hand Made) รถยนต์ทุกคันจึงมิใช่เป็นเพียงรถยนต์ธรรมดาคันหนึ่งทั่ว ๆ ไป เท่านั้น Mitsuoka บรรจงสร้างรถยนต์ในสไตล์งานศิลป์ ที่มีเส้นสายโค้งมนด้วยความประณีต และพิถีพิถันในทุกขั้นตอน สร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้เป็นเจ้าของว่า ได้ครอบครองงานศิลป์ที่มีจำนวนไม่มาก เป็นสมบัติล้ำค่าที่อยู่เหนือกาลเวลา เปรียบประดุจการได้มีโอกาสใช้ชีวิตในช่วงเวลาดี ๆ เช่น การชื่นชมความสวยงามของแฟชั่น การรับประทานอาหารรสชาติดี ๆ กับคนในครอบครัว เพื่อนรัก หรือคนรู้ใจ เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่แฝงไว้ด้วยความรัก ความผูกพัน และความสุข ซึ่งมีคุณค่าทางจิตใจที่ยากจะบรรยาย
แม้วันเวลาจะผ่านล่วงเลยไปยาวนานเพียงใดก็ตาม เรายังคงยืนยันที่จะผลิตรถยนต์แบบ Hand Made ด้วยการทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการสร้างสรรค์ เพื่อให้ได้งานศิลป์บนยานยนต์ สำหรับผู้ที่รักในความคลาสสิคเหนือกาลเวลานี้ตลอดไป
รถยนต์มิทสึโอกะที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ ได้แก่
1. Mitsuoka New Viewt รถคลาสสิคขนาดเล็ก ราคาเริ่มต้นที่ 1,990,000 บาท
2. Mitsuoka Himiko รถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ราคา 3,750,000 บาท
2. Mitsuoka Himiko Classic (Limited Edition) รุ่นตกแต่งพิเศษ สีทูโทน ดำ-แดง ราคา 3,880,000 บาท
3. Mitsuoka Orochi รถซุปเปอร์คาร์ ในสไตล์สปอร์ตแฟชั่นแบบญี่ปุ่น ราคา 9,500,000 บาท
ปัจจุบัน มิทสึโอกะ มอเตอร์เซลส์ (ประเทศไทย) มีโชว์รูมและศูนย์บริการ อยู่ที่ ถนนเพชรพระราม (ถนนริมคลองแสนแสบ) พระราม 9 โทร. 02 719 7942
วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555
BMW ตัวแรกๆ
เบนท์ลีย์ Corniche ปี 1980
ปี: 1980
Make: เบนท์ลีย์
Model: Corniche
สถานที่ตั้งเครื่องยนต์: Front
ประเภทไดรฟ์: ล้อด้านหลัง
บอดี้ / เคสเหล็ก Unibody กับเฟรมเสริมด้านหน้าและด้านหลัง
ปีที่ผลิตสำหรับ: 1971-1996
Bentley S1 ปี 1955
รถพระที่นั่งของพระองค์เจ้าพีระ,Bentley S1 1955 ทรงใช้เป็นรถพระที่นั่งใช้ระหว่างประทับ ณ ประเทศอังกฤษ ปัจจุบัน นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรื่อง เป็นผู้ดูแลปี: 1956
Make: เบนท์ลีย์
รุ่น: S1
สถานที่ตั้งเครื่องยนต์: Front
ประเภทไดรฟ์: ล้อด้านหลัง
งานอาจารย์ใหญ่: พาร์ควอร์ด & Co, Mulliner
น้ำหนัก: £ 4140 | 1877.9 กก.
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555
รถคลาิสสิก
สืบเนื่องมาจากนักนิยมรถยนต์โบราณกลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่า การให้ความสำคัญต่อรถคลาสสิคในประเทศนั้น นับวันเริ่มถดถอย ทั้งๆที่มีคนรักรถคลาสสิกอีกมากมายที่อยากจะให้มีกิจกรรมมากขึ้น จึงเห็นพ้องต้องกันที่จะรวมกลุ่มรถคลาสสิคทุกยี่ห้อที่มีในเมืองไทยเพื่อ ผนึกกำลังให้เป็นองค์กรที่มีประสิทธิ์ภาพในการจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ให้ เห็นว่า เมืองไทยนั้นมีของดีอยู่อีกมากมายสมควรที่จะต้องนำมาแสดงและถ่ายเทความรู้ แก่คนรุ่นหลังให้มีความรู้เกี่ยวกับรถที่หาชมได้ยาก หากวันใดไม่มีรถยนต์เหล่านี้เหลืออยู่ในประเทศแล้ว ลูกหลานของเราจะไปถามใคร การรวมตัวกันครั้งแรกในวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ประกอบด้วยคนรักรถคลาสสิกจำนวน ๑๑ คน ณ.ขณะนั้นจึงได้จัดตั้งชมรมรถคลาสสิคแห่งประเทศไทย ด้วยความที่ทุกคนพร้อมเดินหน้ากับชมรมใหม่ที่ได้ก่อตั้งขึ้น สิ่งที่ต้องทำก่อนคือรวมตัวกันพร้อมรถยนต์คลาสสิคคันโปรดเดินทางไปอยุธยาเพื่อทำบุญยกฉัตรถวาย พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์ บรมไตรโลกนาถ ณ.วัดหน้าพระเมรุ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๖ นับว่าเป็นศิริมงคลอย่างยิ่งในการที่ได้รับพรสำหรับการจัดกิจกรรมครั้งแรก ทำให้จิตใจพวกเราพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป เพื่อผลประโยชน์ของสังคมไทยโดยรวม ภายหลังจึงได้จัดตั้งเป็น สมาคมรถคลาสสิค (ประเทศไทย) |
เปิดตำนาน Yamaha สายพันธุ์ SR 400/500
ทำไม รถรุ่นนี้ถึงได้มีอายุการผลิตที่ยาวนานเกือบ30ปี?ทำไมถึงมีการปรับเปลี่ยน โฉม(Minor Change) ทั้งหมด 21ครั้งตั้งแต่เริ่มผลิตจนถึงปัจจุบัน ทำไมมันถึงไม่ยอมตกยุคหนำซ้ำยังไดรับความกระแสความน ิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่าศึกษาและค้นคว้า และนี่คือตำนานYamaha ตระกูล SR 400/500 ได้เริ่มสายการผลิตในครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1978 โดยเริ่มผลิตด้วยรุ่น 500 ก่อน ซึ่งได้ใช้เครื่องยนต์ของรถแนววิบากรุ่นพี่คือ Yamaha XT 500 (เริ่มผลิตปี 1976) เป็นต้นแบบ หลังจากนั้นจึงผลิตรุ่น 400 ตามออกมาด้วยการออกแบบรูปทรงเพื่อสนองความต้องการในยุคสมัยนั ้น (ยุครุ่งเรืองของรถมอเตอร์ไซค์จากเมืองผู้ดีอังกฤษ)เครื่อง ยนต์สี่จังหวะสูบเดียว 400และ500cc. ระบบการไหลเวียนของน้ำมันเครื่องโดยใช้เฟรมของตัวรถ ซึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจวัยรุ่นยุคนั้นอยู่ไม่น้อยเล ยทีเดียว และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ได้มีการปรับเปลี่ยนสีสันลายถัง,โลโก้,ระบบเบร ค เป็นต้น มีการผลิตรุ่น SP ทั้งหมด2รุ่น และ Special Edition ทั้งหมด4ครั้ง
ข้อมูลทางเทคนิคของ SR 400
เครื่องยนต์แบบ Single สูบเดียว 4จังหวะ โอเวอร์เฮดวาล์ว(OHC) 2 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
รหัสเครื่องยนต์ 2H6 (ไม่มีเลขต่อ)/ปี1996-2000 2H6 xxxxxx (มีเลข6หลัก)/ปี 2001 ถึงปัจจุบัน H313E xxxxxx
ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 399cc.
ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0x67.2
อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 8.5 : 1
แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 27 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 7,000 รอบต่อนาที
แรงบิด 3.00 กิโลกรัมเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
ระบบเบรคหน้า ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
ระบบเบรคหลัง ดรัมเบรค
รหัสเครื่องยนต์ 2H6 (ไม่มีเลขต่อ)/ปี1996-2000 2H6 xxxxxx (มีเลข6หลัก)/ปี 2001 ถึงปัจจุบัน H313E xxxxxx
ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 399cc.
ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0x67.2
อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 8.5 : 1
แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 27 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 7,000 รอบต่อนาที
แรงบิด 3.00 กิโลกรัมเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
ระบบเบรคหน้า ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
ระบบเบรคหลัง ดรัมเบรค
ข้อมูลทางเทคนิคของ SR 500
เครื่องยนต์แบบ Single สูบเดียว 4จังหวะ โอเวอร์เฮดวาล์ว(OHC) 2 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
รหัสเครื่องยนต์ 2J2
ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 499cc.
ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0x84.0
อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ
แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 32 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 6,500 รอบต่อนาที
แรงบิด 3.70 กิโลกรัมเมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
ระบบเบรคหน้า ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
ระบบเบรคหลัง ดรัมเบรค
เวสป้า GTS 300 ie ราคา 310,000 บาท การกลับมาทำตลาดอีกครั้งสำหรับสกู๊ตเตอร์แบรนด์ดังจากอิตาลี เวสป้า (Vespa) ภายใต้ข้อจำกัดของรถนำเข้าที่มีค่าตัวสูงถึงระดับแสนบาท จะมีแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างไร จุดเด่นของรถคืออะไร และที่สำคัญกลุ่มเป้าหมายคือใคร
รหัสเครื่องยนต์ 2J2
ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 499cc.
ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0x84.0
อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ
แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 32 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 6,500 รอบต่อนาที
แรงบิด 3.70 กิโลกรัมเมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
ระบบเบรคหน้า ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
ระบบเบรคหลัง ดรัมเบรค
เวสป้า GTS 300 ie ราคา 310,000 บาท การกลับมาทำตลาดอีกครั้งสำหรับสกู๊ตเตอร์แบรนด์ดังจากอิตาลี เวสป้า (Vespa) ภายใต้ข้อจำกัดของรถนำเข้าที่มีค่าตัวสูงถึงระดับแสนบาท จะมีแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างไร จุดเด่นของรถคืออะไร และที่สำคัญกลุ่มเป้าหมายคือใคร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)