รวมเรื่องรถคลาสสิก
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
Vespa GTV300ie Specification
Vespa ถือเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่เคียงคู่ยุคสมัย และความงามเสมอมา ถึงวันนี้เหล่าสายงานโมเดล "ชั้นยอด" ในอดีตกำลังจะถูกนำกลับมาฟื้นใหม่อีกครั้ง ด้วยสีสันสไตล์อิตาเลียน ในรุ่น Vespa GTV เวอร์ชั่น "Vie della Moda" (The Way of Fashion) หรือวิถีแห่งแฟชั่น ที่โดดเด่นด้วยโครงสี PLUM โฉบเฉี่ยวไม่เหมือนใคร ด้วยเกียรติศักดิ์และความเย้ายวนของทั้ง Vespa GTV "Vie della Moda" ที่ฉายเด่นกว่างานขับขี่โดยทั่วไป ทั้งในแง่ มนตรานุภาพ และ ความแยบยล ผ่านรูปทรงและคุณลักษณะการทำงาน ที่เกิดจากการรื้อตีความอัตลักษณ์เชิงศิลป์ HAUTE COUTURE เยี่ยงงานในยุค 1950 และ 1960 พละกำลังจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ทั้งรุ่น 4 วาล์ว 300 cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบ หัวฉีดอิเล็กทรอนิก และผ่านเกณฑ์มาตรฐานมลพิษ Euro3 เหนือชั้นด้วยระดับการตอบสนองและความยืดหยุ่น ผลดีจากการใช้ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะคืนกลับเป็นประโยชน์ในรูปของ จำกัดอัตราสิ้นเปลืองฯ และมลพิษ กลับมาอีกครั้ง กับชิ้นงานสุดอมตะของเวสป้า โมเดล "ชั้นยอด" ในอดีตกำลังจะถูกนำกลับมาฟื้นใหม่อีกครั้ง ด้วยสีสันสไตล์อิตาเลียน ในรุ่น Vespa GTV เวอร์ชั่น "Vie della Moda" (The Way of Fashion) หรือวิถีแห่งแฟชั่น ที่โดดเด่นด้วยโครงสี PLUM โฉบเฉี่ยวไม่เหมือนใคร VESPA GTV " Vie della Moda" ที่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูดเหนือกาลเวลา คงแบบฉบับความเป็น Vespa ด้วยการวางตำแหน่ง โคมไฟส่องสว่าง หน้าบังโคลน เช่นเดียวกับ แฮนด์บังคับเลี้ยว "Vie della Moda" รุ่นนี้ เบาะสองที่นั่ง บุหนัง ECO-LEATHER สวยสง่า นั่งสบาย ถอดแบบงาน Vespa ยุคดั้งเดิมด้วยการแยกเบาะหน้า-หลังจากกัน พละกำลังจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ทั้งรุ่น 4 วาล์ว 300 cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบ หัวฉีดอิเล็กทรอนิก และผ่านเกณฑ์มาตรฐานมลพิษ Euro3 หนังเบาะสีทับทิมรับกับงานตัวถังโทน “Rosso Chianti” รุ่นนี้โดยเฉพาะ แต่งสัมผัสให้สมกับการเป็นงาน "Vie della Moda" รุ่นพิเศษ ด้วยล้อห้าซี่ชุบโครเมียม สัญลักษณ์ "Vie della Moda" ของทั้ง GTV ได้แรงบันดาลใจจากป้ายถนนตามหานครใหญ่ ประทับอยู่บนผืนแผ่นโลหะรูปโล่ เพื่อสื่อถึงภาพลักษณ์ความภูมิฐานของรถ Vespa ชัยชนะของ Vespa ในการรื้อสร้างชิ้นงานสุดอมตะ GTV ผ่านคราบเงาของแบรนด์ใหม่ GTV "Vie della Moda" ที่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูดเหนือกาลเวลา คงแบบฉบับความเป็น Vespa ด้วยการวางตำแหน่ง โคมไฟส่องสว่าง หน้าบังโคลน เช่นเดียวกับ แฮนด์บังคับเลี้ยว - ท่อเหล็กธรรมดาเหมือนรถ Vespa ยุคแรก - ก็ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งกับใน "Vie della Moda" รุ่นนี้ เบาะสองที่นั่ง บุหนัง ECO-LEATHER สวยสง่า นั่งสบาย ถอดแบบงาน Vespa ยุคดั้งเดิมด้วยการแยกเบาะหน้า-หลังจากกัน เสริมงานท่อรวง เน้นความโดดเด่นในส่วนของเค้าโครง หนังเบาะสีทับทิมรับกับงานตัวถังโทน “Rosso Chianti” คัดสรรมาเพื่อ Vespa GTV "Vie della Moda" รุ่นนี้โดยเฉพาะ แต่งสัมผัสให้สมกับการเป็นงาน "Vie della Moda" รุ่นพิเศษ ด้วยล้อห้าซี่ชุบโครเมียม สัญลักษณ์ "Vie della Moda" ของทั้ง GTV ได้แรงบันดาลใจจากป้ายถนนตามหานครใหญ่ ประทับอยู่บนผืนแผ่นโลหะรูปโล่ เพื่อสื่อถึงภาพลักษณ์ความภูมิฐานของรถ Vespa
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
"Honda C Family"
รถ มอเตอร์ไซค์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นที่แม่ๆ ป้าๆ ใช้ขี่ไปตลาดจับจ่ายซื้อของเป็นที่คุ้นตา โดยเฉพาะในต่างจังหวัด วันนี้กลับเป็นที่ชื่นชอบของคนหนุ่มสาวในเมืองหลวง พยายามขวนขวายหามาเป็นเจ้าของสักคัน จากนั้นนำมาแปลงโฉมจนสวยงามเอี่ยมอ่อง แม้เจ้าของเดิมมาเห็นก็อาจจะจำไม่ได้ โดยเฉพาะราคาที่เปลี่ยนไปจนแม่บ้านหลายคนต้องแปลกใจว่าอย่างนี้ซื้อรถใหม่ ไม่ดีกว่าหรือ
ฮอนด้า ซี นี้คือรหัสของรถรุ่นพวกนี้ มันก็จะมีแยกไปเป็นซี 50 ซี, 65ซี, 70,ซี 90 และก็ซี 100 ตัวเลขก็คือซีซีของรถ อย่างซี 50 ก็คือ 50 ซีซี ซี 90 ก็รถ 90 ซีซี ภาสกร ปั้นเพชร หรือแบงก์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนาซี อธิบายถึงความแตกต่างของรถแต่ละคันที่จอดโชว์อยู่ให้ฟัง ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแต่ละรุ่นนั้นจะดูคล้ายกัน
เขาจะดูกันที่ถัง น้ำมัน ซี 70 ก็จะเป็นรุ่นที่ใหม่หน่อย ถังน้ำมันจะเชื่อมติดกับบังโคลนหลัง แต่ถ้าเป็นตัวเก่าหน่อยก็จะเป็นซี 50 ถังน้ำมันจะแยกออกได้จากตัวรถ แต่ถ้าเก่ากว่านี้ก็คือ ซี 100 กับซี เอ็ม 90 เขาชี้ให้ดูฮอนด้า ซี 100 สีเขียวไข่กาที่เป็นรุ่นต้นแบบของมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะ ในปัจจุบัน ส่วนซี เอ็ม 90 ที่จอดอยู่ข้างกันนั้น มีกะโหลกไฟโตกว่า และถังน้ำมันจะใหญ่กว่ารุ่นซี 100กัน เขาก็บอกว่ามันกลับมาได้สักประมาณ 4 ปีแล้ว ราคาตอนนี้ก็จะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ แล้ว ยิ่งรุ่นที่หายากหน่อยราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นไปอีก เช่น ซี 100 และซี เอ็ม 90 แล้วมันก็จะมีอีกรุ่นหนึ่งที่คล้ายๆ รุ่นนี้ คันนั้นจะเป็นสตาร์ทมือ เขาเรียกว่า ซี 102 คันนั้นก็จะแพงมาก น่าจะแพงที่สุดในบรรดารถผู้หญิงด้วยกัน
อย่างซี 50 สภาพที่ทำแล้วแบบนี้ ทางร้านก็จะขายอยู่ที่ราคา 20,000 แล้วมันก็จะมีซี 70 แบบ ที่มันยังไม่ได้ทำ เป็นสภาพเดิมๆ แบบที่เขาเรียกกันว่ารถบ้าน ตามภาษาพวกรถฮอนด้าด้วยกันเขาจะเรียกว่าสภาพรถแบบแห้งๆ หมายถึงแบบที่สีรถมันนานมาแล้วตั้งแต่สมัย 20-30 ปีที่แล้ว สีมันดูแห้งๆ ก็จะเริ่มตั้งแต่ราคา 5,000 บาทไปจนถึง 10,000 บาท
มันจะมีเหมือนเป็นออปชันในการขายรถ ว่ารถคันนี้ต่อทะเบียนมาแล้ว มีพ.ร.บ. ถ้ามอเตอร์ไซค์ที่ขายมี คนก็จะสนใจ เพราะเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องไปเสี่ยงเรื่องกฎหมายบ้านเมืองด้วย รถทำมาแล้วมีทะเบียนก็ราคาหนึ่ง ทำมาแล้วแต่ไม่มีทะเบียนมันก็จะอีกราคาหนึ่ง เครื่องยนต์ที่ผ่านการทำหรือที่เรียกว่าบิลต์แล้ว จะสามารถวิ่งได้ประมาณ 70-80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หลังจากทำเครื่องยนต์เสร็จก็จะเป็นขั้นตอนของการตกแต่ง ทั้งเปลี่ยนเบาะจากเบาะยาวเป็นเบาะคู่หรือเบาะเดี่ยวพร้อมตะแกรงท้ายรถ รวมทั้งการทำสีใหม่ด้วย
บางคนชอบแต่งแบบอนุรักษ์ ก็จะทำสีเป็นโทนสีเดิมๆ คือสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของรถที่ออกมาในตอนนั้น แต่บางคนอาจจะไม่ชอบสีเดิมของรถก็จะมาทำเป็นสีที่เขาเรียกกันว่าสีเบจ คือออกเป็นสีนวลๆ สีครีม สีชมพูอ่อน แล้วก็มีอีกแบบหนึ่งคือ แนวแฟชั่น ที่ทำสีแรงๆ อย่างสีม่วง สีส้ม สีเขียวตองอ่อน แล้วก็จะมาใส่ล้อซี่ลวดที่เขาเรียกว่าขึ้นซี่ลวดถี่ แล้วใส่ยางขอบขาว อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคนจะแต่ง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการบิลต์รถเก่าให้ดูใหม่แต่ละครั้ง แบงก์บอกว่าจะตกประมาณ 15,000-20,000 บาท ทั้งการชุบ ขัดเงา ทำสี อะไหล่ภายในรถและอะไหล่ตกแต่งล้อ ฯลฯ
ฮอนด้า ซี ก็คงไม่ต่างจากรถทั่วไป ที่เมื่อมีรุ่นใหม่มาแทนที่รุ่นเก่า ความนิยมก็ย่อมจะลดลง แต่เมื่อถูกจัดให้เป็นรถคลาสสิกแล้วนั้น ก็ย่อมเป็นอมตะไม่มีวันตายหรือสูญหายไปง่ายๆ รอเพียงเวลาที่คนรุ่นใหม่จะเห็นคุณค่าความสวยงามและกลับมานิยมใหม่อีกครั้ง
มันจะมีเหมือนเป็นออปชันในการขายรถ ว่ารถคันนี้ต่อทะเบียนมาแล้ว มีพ.ร.บ. ถ้ามอเตอร์ไซค์ที่ขายมี คนก็จะสนใจ เพราะเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องไปเสี่ยงเรื่องกฎหมายบ้านเมืองด้วย รถทำมาแล้วมีทะเบียนก็ราคาหนึ่ง ทำมาแล้วแต่ไม่มีทะเบียนมันก็จะอีกราคาหนึ่ง เครื่องยนต์ที่ผ่านการทำหรือที่เรียกว่าบิลต์แล้ว จะสามารถวิ่งได้ประมาณ 70-80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หลังจากทำเครื่องยนต์เสร็จก็จะเป็นขั้นตอนของการตกแต่ง ทั้งเปลี่ยนเบาะจากเบาะยาวเป็นเบาะคู่หรือเบาะเดี่ยวพร้อมตะแกรงท้ายรถ รวมทั้งการทำสีใหม่ด้วย
บางคนชอบแต่งแบบอนุรักษ์ ก็จะทำสีเป็นโทนสีเดิมๆ คือสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของรถที่ออกมาในตอนนั้น แต่บางคนอาจจะไม่ชอบสีเดิมของรถก็จะมาทำเป็นสีที่เขาเรียกกันว่าสีเบจ คือออกเป็นสีนวลๆ สีครีม สีชมพูอ่อน แล้วก็มีอีกแบบหนึ่งคือ แนวแฟชั่น ที่ทำสีแรงๆ อย่างสีม่วง สีส้ม สีเขียวตองอ่อน แล้วก็จะมาใส่ล้อซี่ลวดที่เขาเรียกว่าขึ้นซี่ลวดถี่ แล้วใส่ยางขอบขาว อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคนจะแต่ง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการบิลต์รถเก่าให้ดูใหม่แต่ละครั้ง แบงก์บอกว่าจะตกประมาณ 15,000-20,000 บาท ทั้งการชุบ ขัดเงา ทำสี อะไหล่ภายในรถและอะไหล่ตกแต่งล้อ ฯลฯ
ฮอนด้า ซี ก็คงไม่ต่างจากรถทั่วไป ที่เมื่อมีรุ่นใหม่มาแทนที่รุ่นเก่า ความนิยมก็ย่อมจะลดลง แต่เมื่อถูกจัดให้เป็นรถคลาสสิกแล้วนั้น ก็ย่อมเป็นอมตะไม่มีวันตายหรือสูญหายไปง่ายๆ รอเพียงเวลาที่คนรุ่นใหม่จะเห็นคุณค่าความสวยงามและกลับมานิยมใหม่อีกครั้ง
วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
ตุ๊กตุ๊ก"หัวกบ"...แปลงโฉมกับความสุขที่ได้สัมผัส
เมื่อหลายวันก่อนข้าพเจ้าได้มีโอกาสยลโฉมตุ๊กตุ๊ก "หัวกบ" ....จากเมืองตรังที่ตกแต่งโฉมร่างน่ารักและคลาสสิกมาก เป็นสีทูโทน ชมพู-ครีม
ภาย ในห้องโดยสารตกแต่งทำเบาะนั่งใหม่ที่ดูน่านั่งมาก อารมณ์ของคนแต่งนี้ไม่เบาเหมือนกันที่สามารถทำให้รถโบราณจากแดนปลาดิบนี้มี เสน่ห์เพิ่มขึ้น
สำหรับข้าพเจ้าเองก็ไม่รอช้า...
ที่จะต้องกลับมาค้นหาข้อมูลและที่มาที่ไปอย่างจริงๆ จังๆ...
เป็นเรื่องที่น่าทึ่งและยินดีสำหรับข้าพเจ้าเองที่ได้มีโอกาสนั่งรถตุ๊กๆ คันนี้ ในค่ำคืนที่มีฝนตกปรอยๆ ลงมา เจ้ารถคันนี้ทะยานไปบนท้องถนนที่ค่อนข้างว่างรถไปตามเส้นทางในขอนแก่น มุ่งหน้าเข้าสู่ชุมชนโซนติดมหาวิทยาลัยเพื่อไปร้านกาแฟที่มาทราบทีหลังคือ ของเจ้าปิ่น-สาวอารมณ์ดี รุ่นน้องที่เรียนจบจากคณะศิลปกรรม
ระหว่างที่รถวิ่งผ่านไป...ตามเส้นทาง
ได้รับความสนใจจากคนที่ผ่านไปและสวนทางตลอด อาจด้วยเสียงที่ดังเป็นเอกลักษณ์ และหน้าตาของเธอที่ช่างไฉไลยิ่งนัก แม้แต่กลุ่มวัยรุ่นที่นั่งสังสรรค์กันอยู่ร้านริมถนนต่างพากันลุกขึ้นยืนดู และปรบมือ...ด้วยท่าทางอันตื่นตลึงและเห็นรอยยิ้มตามมา ข้าพเจ้ามองว่าเจ้าตุ๊กตุ๊กน้อยคันนี้...ช่างได้แจกจ่ายความสุขสู่ผู้อื่นได้ดีจริงเทียว
เมื่อรถเลี้ยวเข้าไปในซอย มีมอเตอร์ไซด์หลายคันที่ต้องเหลียวหันกลับมาดู และยิ้มรับเจ้ารถคันน้อยนี้ด้วยความตื่นเต้นต่อการพบเห็น ทันทีที่รถไปจอดอยู่ที่หน้าร้านกาแฟ-เป้าหมายที่เราจะไปถึงนั้น เด็กๆ นักศึกษาและลูกค้าในร้านต่างพากันหันมามองด้วยเสียงที่เธอเจ้ารถคันน้อยส่ง เสียงให้ผู้คนต้องเหลียวมอง
ขณะที่เราพากันนั่งอยู่ในร้าน...
ข้าพเจ้าเดินออกมาเมียงมองไปที่เจ้ารถคันน้อยที่จอดอยู่อย่างสงบ...ริม บึง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเธอช่างเหมือนสาวน้อยที่เหนียมอาย แต่เธอมีเสียงหัวเราะอันเบิกบานและแจ่มใส ที่ใครๆ ได้ยินเป็นต้องเหลียวหันมามอง ที่ได้พบเจอเธอก็จะหลงรักและมีความสุข... เพราะเธอช่างไม่เหมือนใครเลยในละแวกนี้
แม้แต่เจ้าปิ่นเอง... ก็แสดงถึงอาการชื่นชอบ เธอเล่าให้ฟังว่าเพื่อนรุ่นน้องที่ได้เจอรถคันนี้นั้นถึงกับอยากได้มาใช้...
มาดูที่มาที่ไปของรถเจ้าประเภทนี้...ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปอ่านเจอในเวบหลายเวบ...
ประวัติรถตุ๊กตุ๊ก
หัวกบรุ่นดั้งเดิม ถูกส่งลงเรือจากญี่ปุ่น แล้วมาต่อรถไฟ ไปเมืองตรัง ลักษณะตัว รถจะเป็นกระบะสามล้อขนาดเล็กไม่มีหลังคา ครอบด้านหลังต่อมาช่างไทยได้ปรับแต่ง เพิ่มหลังคาเข้าไปเพื่อกันร้อน กันฝนให้ผู้โดยสาร หลายคนสงสัยทำไมคนตรังต้องใช้ ้รถตุ๊กตุ๊กหัวกบ เฉลย....เพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ในเขตเมืองตรังส่วนใหญ่ เป็น ลอนลูกฟูก หรือที่คนพื้นถิ่นเรียกว่า “ควน” แปลว่าเนิน การใช้รถสามล้อเครื่องทุ่น แรง จึงมีความเหมาะสมและสะดวก สามารถซอกซอน ไปตามซอกซอยคับแคบได้โดย ง่ายดาย
จักรยานล้อโต
ถ้าจะพูดถึงเรื่องราวของความที่เป็นที่สุดในโลกนั้น คนไทยอย่างเราๆก็ไม่น้อยหน้าที่ไหนในโลกเหมือนกัน
อย่างวันนี้หมูหินได้มาชมสิ่งที่เป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่ง
ที่คนไทยเราได้คิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง
โดยการนำเอาความชื่นชอบมาผสมผสานกับความเก่าคลาสิคของรถจักรยาน ทำให้เกิดสิ่งที่เป็นที่สุดในโลกอีกชิ้นในประเทศไทย
อย่างวันนี้หมูหินได้มาชมสิ่งที่เป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่ง
ที่คนไทยเราได้คิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง
โดยการนำเอาความชื่นชอบมาผสมผสานกับความเก่าคลาสิคของรถจักรยาน ทำให้เกิดสิ่งที่เป็นที่สุดในโลกอีกชิ้นในประเทศไทย
หลายๆคนคงเคยพบเห็นรถจักรยานโบราณมา
มากมายหลายชนิด หลากหลายรูปแบบ
และหลายๆคนคงจะเคยเห็นเจ้าจักรยานที่มีล้อหน้าโตๆ
ที่มีที่นั่งปั่นอยู่เหนือล้อที่โตๆกันมาบ้างแล้ว น
บางคนอาจะเคยเห็นในภาพยนต์ บางคนอาจจะเคยเห็นในรายการทีวีต่างๆ
แต่ที่เห็นๆกันมาน่ะอาจจะยังโตไม่พอ
ไม่เป็นไรครับวันนี้หมูหินจะพามาดูเจ้าจักรยานล้อโตที่ว่านี้อย่างใกล้ๆ
แบบคันเป็นๆเลย
แถมยังเป็นคันที่ล้อโตที่สุดในบ้าน...ไม่สิ..ล้อโตที่สุดในโลกเลยครับ
(หรือโตที่สุดในจักรวาล เพราะนอกโลกคงไม่ใช้กัน..555 ขำกันหน่อยนะ
อย่าให้ฝืด)
มากมายหลายชนิด หลากหลายรูปแบบ
และหลายๆคนคงจะเคยเห็นเจ้าจักรยานที่มีล้อหน้าโตๆ
ที่มีที่นั่งปั่นอยู่เหนือล้อที่โตๆกันมาบ้างแล้ว น
บางคนอาจะเคยเห็นในภาพยนต์ บางคนอาจจะเคยเห็นในรายการทีวีต่างๆ
แต่ที่เห็นๆกันมาน่ะอาจจะยังโตไม่พอ
ไม่เป็นไรครับวันนี้หมูหินจะพามาดูเจ้าจักรยานล้อโตที่ว่านี้อย่างใกล้ๆ
แบบคันเป็นๆเลย
แถมยังเป็นคันที่ล้อโตที่สุดในบ้าน...ไม่สิ..ล้อโตที่สุดในโลกเลยครับ
(หรือโตที่สุดในจักรวาล เพราะนอกโลกคงไม่ใช้กัน..555 ขำกันหน่อยนะ
อย่าให้ฝืด)
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
Rolls Royce Sedanca Coupe รถแห่งประวัติศาสตร์สยาม
นี่คงจะเป็นการสร้าง ประวัติศาสตร์ครั้งแรก แห่งยุค ที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์หนึ่งในตำนาน ซึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์และชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ซึ่งเป็นรถยนต์ส่วนตัวคันโปรดของพระองค์เจ้าพีระ ที่ได้ชนะเลิศในการแข่งขันมากมายและได้รับการทำนุบำรุงรักษาและปรับแต่งเป็น อย่างดีในประเทศอังกฤษ และพร้อมแล้วสำหรับการเปิดประมูลผ่านทางระบบออนไลน์
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีระพงศ์ภาณุเดช (พระองค์เจ้าพีระ) ถือเป็นชาวสยามคนแรกที่ร่วมแข่งขันรถยนต์ระดับโลก และสร้างเกียรติประวัติด้วยการชนะเลิศหลายรายการจนทำให้ประเทศไทยนั้นมีชื่อ เสียงโด่งดังไปทั่วโลก พระองค์เจ้าพีระได้ครอบครองรถยนต์ Rolls Royce Sedanca Coupe ปี ค.ศ.1937 รถคันโปรด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1937 จนถึงปี ค.ศ. 1949 โครงสร้างแบบ ELR947 ของรถคันนี้เป็นโครงสร้างรูปแบบพิเศษ 1201 25/30 ซึ่งผลิตโดยบริษัท Gurney Nutting ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถเฉพาะสำหรับราชวงศ์อังกฤษ
รถยนต์ Rolls Royce Sedanca Coupe วาง เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง (4257ซีซี) ขนาด 4 ¼ ลิตร ซึ่งได้รับการเดินเครื่องยนต์อยู่ตลอดเพื่อทำนุบำรุง ปรับแต่ง และรถยนต์คันดังกล่าวนี้มีสมรรถนะการขับเคลื่อนที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ด้วยพลังเครื่องยนต์ 4 สปีดที่ง่ายต่อการใช้ ผนวกกับระบบคลัชที่ยอดเยี่ยม และ ระบบเบรคที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่
โดย ระหว่างกลางปีทศวรรษ 1970 ถึงปี ค.ศ. 1997 รถของพระองค์เจ้าพีระได้อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และถูกเคลื่อนย้ายมาที่สหราชอาณาจักรเพื่อทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ ทั้งในส่วนการตกแต่งให้สวยงามและด้านพัฒนาปรับแต่งเครื่องยนต์ โดยปี ค.ศ. 1998 รถยนต์คันดังกล่าวนี้ยังได้รับการจารึกลงบนหน้าปกผลงานของกษัตริย์เบอร์นา ร์ด ที่มีชื่อว่า “The Rolls Royce 25/30 HP and Wraith”
ส่วน ในปีค.ศ. 2004 รถของพระองค์เจ้าพีระ ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในรถยอดเยี่ยม 19 คันที่นำมาแสดงโชว์ในงานเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความเร็วของ Goodwood ซึ่งงานในครั้งนี้ถือเป็นงานแสดงรถ Rolls Royce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ยิ่งไปกว่านั้นในปี ค.ศ. 2006 รถคันดังกล่าวนี้ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นรถก่อนสงครามที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการได้รับเกียรติในการนำไปโชว์ที่ประเทศฝรั่งเศสตอนเหนือในปีที่ผ่าน มาอีกด้วย
การ เปิดประมูลรถยนต์ในครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสครั้งสำคัญของทุกคนที่ต้องการ เป็นเจ้าของ อดีตรถคันโปรดซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ให้แก่ราชวงศ์ไทย ทุกคนที่รักการขับขี่รถแข่งตลอดจนนักสะสมสามารถชมรถยนต์ Rolls Royce Sedanca Coupe ปีค.ศ.1937 สภาพเยี่ยมสมบูรณ์
Fiat 124 Sport Spider รถส่งออกชั้นดีจากอิตาลี
เฟียต 124 สปอร์ตสไปเดอร์ (Fiat 124 Sport Spider)คือผลผลิตของเฟียตแห่งอิตาลี มีสายการผลิตเป็นระยะเวลา 20 ปี โดยส่วนใหญ่ของรถรุ่นนี้ส่งออกไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
Sport Spider เริ่มเปิดตัวในงานแสดงรถยนต์ที่ตูรินเดือนพฤศจิกายน 1966 จากนั้นรถตัวน้องคือ Fiat 124 Coupeก็คลอด ตามมาในปี 1967 รถสองคันนี้มีความเกี่ยวข้องกับ Fiat 124 Sedan ซึ่งผลิตขึ้นมาก่อนหน้านั้น เนื่องจากใช้ระบบส่งกำลัง ที่ต่อเนื่องกันมา แต่ความแตกต่างของพวกมันก็มีให้เห็นเด่นชัดเช่นกัน โดยเฉพาะ Spider ที่มีฐานล้อสั้นกว่า Coupe กับ Sedan นอกจากนี้ตัวถังของ Spider ยังออกแบบและผลิตโดยบริษัทออกแบบรถชื่อก้องโลก พินินฟารีน่า (Pininfarina) ขณะที่ Coupe กับ Sedan ออกแบบและผลิตตัวถังโดยเฟียตเอง
เครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ และเหล่าพี่น้องออกแบบโดยออเรลิโอ ลัมเปรดี้อดีตหัวหน้าวิศวกรรมของเฟอร์รารี่ โดยลัมเปร ดี้เพิ่มขนาดความจุให้รถขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มต้นด้วยขนาด 1438 ซี.ซี. ในปี 1966 แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 1608 ซี.ซี. ในปี 1970 (ลดลง มาเหลือ 1592 ซี.ซี. ในปี 1973) ตามด้วย 1756 ซี.ซี. ในปี 1974 และปิดท้ายด้วย 1995 ซี.ซี. ในปี 1979 ปี 1980 มีการ เปลี่ยนแปลงระบบจ่ายเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์ไปเป็นหัวฉีด นอกจากนั้นยังมีแบบที่ติดเครื่องยนต์เทอร์โบ เรียกว่า Volumex ในช่วงปลายของสายการผลิต แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก
เครื่องยนต์ที่มีพื้นฐานการออกแบบของลัมเปรดี้ ยังคงถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งศตวรรษ 1990 ถือเป็นเครื่องยนต์ที่อยู่ยงค์คงกระพันที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยมีมาใน ประวัติศาสตร์ ทั้ง Spider และ Coupe ถูกส่งออกไปจำหน่าย ยังสหรัฐครั้งแรกในปี 1968 พอถึงปี 1969 Spider ก็เป็นรถตลาดราคายุติธรรมรุ่นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ติดดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ นอกจากนี้พวกเขายังมีสิ่งนำเสนอให้ลูกค้าก็คือ ระบบส่งกำลัง 5 สปีด ยางเรเดียล ดับเบิลโอเวอร์เฮด แคมชาฟท์ หลังคาประทุนที่สามารถติดตั้งได้ภายใน 15 วินาที ราคาขายของ Spider ในสหรัฐสำหรับปี 1968อยู่ ที่ 3,250 เหรียญสหรัฐ ใกล้เคียงกับวอลโว่ 122 (3,000 เหรียญ) และพลีมัธ บาร์ราคูดา เครื่อง 340ci (3,200 เหรียญ สหรัฐ)
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)